ตอนที่239 นี่มันสำนักอะไรกัน
อะไรคือความลับสวรรค์อย่างนั้นหรือ? พูดอีกอย่างก็คือโชคชะตานั่นเอง!
มีใครบ้างเล่าที่จะสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า วันพรุ่งนี้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง?
ใช่ว่าฉีเล่ยจะไม่เคยพบนักบวชเช่นนี้มาก่อน ตามสะพานลอยต่างๆ ล้วนมีนักบวชที่สวมเสื้อคลุมและสวมหมวกเก่าๆ คล้ายกับนักพรตเต๋ายืนอยู่ ปากก็คอยร้องตะโกนบอกผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาว่า
“พี่ชาย น้องชาย ขอเชิญดูดวงชะตา ถ้าไม่แม่นยินดีคืนเงิน”
บางครั้งฉีเล่ยแทบอยากจะเดินไปหา และบอกกับนักบวชพวกนั้นไปตรงๆว่า “ถ้างั้นก็ลองทำนายดวงชะตาดูก่อน แล้วถ้าไม่แม่นผมก็จะไม่จ่ายเงิน”
แม้ว่าฉีเล่ยจะไม่อยากนับรวมผู้มีพระคุณของตนเข้าไปอยู่ในกลุ่มนักบวชต้มตุ๋นพวกนั้น แต่สิ่งที่นักพรตชราแสดงออกในเวลานี้ ก็อดทำให้เขารู้สึกแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
แต่แน่นอนว่า หากเทียบกับนักบวชต้มตุ๋นธรรมดาๆพวกนั้นแล้ว นักพรตชราผู้นี้กลับมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเล็กน้อย เพราะชุดนักพรตของเขาไม่เพียงดูมีราคากว่า แต่เขายังสามารถใช้กระบี่ได้อย่างชำนิชำนาญกว่าด้วย ซึ่งนั่นทำให้พร็อพของเขาดูพร้อมกว่ามาก
ฉีเล่ยรู้สึกว่านักพรตชราคนนี้มีความรอบรู้เรื่องประวัติศาสตร์ เพียงแต่แตกต่างจากนักประวัติศาสตร์คนอื่นๆ ที่ค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีต ในขณะที่นักพรตผู้นี้กำลังพูดถึงปรัชญาตั้งแต่อดีต
“เธอเข้าใจใช่ไหม?” นักพรตชราเอ่ยถามฉีเล่ย
“ครับ เข้าใจครับ!” ฉีเล่ยพยักหน้า
“เอาล่ะ ในเมื่อดวงชะตาของเราสองคนต้องกัน ฉันก็จะช่วยทำนายดวงชะตาให้กับเธอก็แล้วกัน”
ฉีเล่ยได้ยินแล้วถึงกับต้องรีบร้องขัดขึ้นในทันที “ผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ครับท่านอาจารย์!”
นักพรตชราพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมตอบกลับไปว่า “ฉันจะช่วยทำนายดวงชะตาให้เธอ แล้วในวันที่คำทำนายของฉันปรากฏเป็นจริงขึ้น เธอก็จะเชื่อเองนั่นล่ะ”
“ท่านอาจารย์ ผมว่าอย่าดีกว่า! ผมไม่ต้องการล่วงรู้อนาคตของตัวเอง ถ้าคนเรารู้ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าแล้ว การมีชีวิตยังจะมีความหมายอะไรอีกล่ะครับ?” ฉีเล่ยเอ่ยตอบ
นักพรตชราทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ความคิดของเธอก็ไม่เลวเลยนะ คนอื่นๆพยายามอย่างยิ่งที่จะได้ล่วงรู้ความลับสวรรค์ แต่เธอกลับปฏิเสธไม่ต้องการที่จะรู้ล่วงหน้า”
“ครับท่านอาจารย์ ผมเป็นคนที่มีนิสัยไม่ค่อยเหมือนคนทั่วไป!”
ฉีเล่ยตอบกลับทันที วันนี้เขานั่งฟังเรื่องไร้เหตุไร้ผล และปรัชญาเวียนหัวจากนักพรตชรามาตั้งมากมายแล้ว เมื่อมีโอกาสจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าท่านพักอยู่ที่ไหนเหรอครับ? ถ้ายังไงกลับไปพักที่บ้านของผมจะดีไหมครับ?”
“อย่าเลย นักพรตอย่างฉันอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็คือบ้านนั่นล่ะ” นักพรตชราร้องบอกฉีเล่ย
“แต่ท่านอาจารย์ครับ ได้โปรดให้ศิษย์ได้ทำหน้าที่ที่ควรจะทำเถิดนะครับ” ฉีเล่ยเอ่ยปากเชื้อเชิญครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไม่จำเป็นหรอกนะ! เพียงแค่เธอมีใจ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ” นักพรตชราเอ่ยตอบ
“ถ้าอย่างนั้น ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มีอะไรอยากจะให้ผมช่วยทำให้บ้างไหมล่ะครับ?” ฉีเล่ยเอ่ยถามต่อ
หลังจากที่นักพรตชราได้ยินคำถามของฉีเล่ย ดวงตาคู่นั้นของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที พร้อมมองสำรวจไปทั่วทั้งร่างของฉีเล่ย แล้วจึงส่ายหน้าไปมาคล้ายกลับกำลังนึกเสียดายอะไรบางอย่าง
“มีอะไรเหรอครับท่านอาจารย์?” ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะร้องถามออกไปด้วยความงุนงงสงสัยไม่ได้
“น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆที่เธอไม่มีรากแห่งจิตวิญญาณ” นักพรตชราร้องตอบพร้อมกับส่ายหน้า
“รากแห่งจิตวิญญาณ?!”
ฉีเล่ยทวนคำด้วยสีหน้างุนงง และได้แต่คิดในใจว่า นักพรตชราต้องการอะไรกันแน่? ทำไมต้องใช้ศัพท์แสงที่ฟังเข้าใจยากแบบนี้ด้วย?
“เมืองหลวงเป็นเมืองที่มีภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นแหล่งรวมของบรรดาผู้ที่มีพรสวรรค์มากมาย เหตุผลแรกที่ฉันเดินทางมาที่นี่ในครั้งนี้ก็คือ เพื่อเดินทางท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตา และเหตุผลที่สองก็คือ เพื่อมาค้นหาบุคคลที่มีรากฐานแห่งจิตวิญญาณ ให้มาทำหน้าที่สืบทอดวิชาความรู้ของฉัน แต่น่าเสียดายที่ฉันกลับหาคนผู้นั้นไม่พบ” นักพรตชราเอ่ยบอกให้ฉีเล่ยฟัง
“อย่างนั้นเหรอครับ! ดูท่าผมคงจะไม่สามารถช่วยอะไรท่านอาจารย์ได้เลยสินะครับ”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบกลับทันที แม้สีหน้าของเขาจะแสดงออกว่ารู้สึกเสียใจ และเสียดายเป็นอย่างมาก แต่ลึกๆในใจกลับรู้สึกดีใจที่เขาไม่ได้ถูกเลือก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน