ตอนที่299 ลิงลึกลับ
บนเนินเขานั้นมีต้นไม้อยู่หนาทึบ ดูแตกต่างจากตีนเขาอย่างสิ้นเชิง
“พักค้างคืนที่นี่จะปลอดภัยรึเปล่า?”
ฮวาโหล่วหันมองไปรอบตัว สีหน้าท่าทางบ่งบอกถึงความหวาดกลัวอย่างชัดเจน
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรหรอก! ผมเตรียมการมาพร้อมแล้ว เดี๋ยวจะจัดการกางเต็นท์ให้ รับรองว่าปลอดภัยแน่นอน”
พูดจบฉีเล่ยก็หัวเราะเบาๆ
เมื่อได้เห็นสีหน้ายิ้มแย้มไร้ความกังวลของฉีเล่ย อารมณ์หวาดกลัวทั้งหมดของฮวาโหล่ว ก็ได้อันตรธานหายไปในทันที
“ได้ๆ งั้นก็มาช่วยกันกางเต็นท์เลยดีกว่า”
หลังจากนั้น ท่ามกลางป่าในค่ำคืนอันมืดมิดและเงียบสงัด นอกจากเสียงสัตว์ต่างๆ ที่ร้องกันเป็นครั้งคราวแล้ว ก็ยังมีเสียงของชายหญิงคู่หนึ่งกำลังช่วยกันทำงานอย่างขะมักเขม้น
กระทั่งสิบนาทีผ่านไป ในที่สุดทั้งคู่ก็กางเต็นท์สีเขียวเข้มเสร็จเรียบร้อย สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามขึ้นว่า
“ใครเลือกสีเต็นท์เนี่ย? น่าเกลียดจริงๆ”
“นี่! แค่ซื้อได้ก็บุญแล้ว คิดว่ามาถึงที่นี่แล้วจะหาซื้อเต็นท์ได้ง่ายๆรึไง? ทุกร้านก็ขายจนหมดเกลี้ยง บางร้านที่ที่เหลืออยู่ก็ไม่มีสีให้เลือกหรอกนะ ถึงสีจะน่าเกลียด แต่ก็ดีกว่าต้องนอนตากลมไม่ใช่เหรอ?”
ฉีเล่ยตอบโต้กลับบ้าง ก่อนจะร้องตะโกนบอกฮวาโหล่วว่า
“เอาล่ะๆ นอนกันได้แล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว!”
นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเดินทางเท่านั้น ยังไม่รู้ว่าข้างหน้าจะต้องพบเจอกับอะไรอีกบ้าง หากไม่ได้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มอิ่ม ฉีเล่ยเองก็คงไม่กล้าที่จะออกเดินทางต่อแน่
หลังจากกินอาหารแห้งที่เตรียมกันมาแล้ว ทั้งคู่ก็เข้าไปนอนในถุงนอนของตัวเอง แต่การนอนอยู่ในเต็นท์ด้วยกันแบบนี้ ก็ไม่ต่างจากนอนในห้องเดียวกัน ทั้งคู่จึงค่อนข้างกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
“นี่! นายว่าพวกเราจะหาคัมภีร์เจินจิ่วเจี่ยอี่จิงฉบับแก้ไขนี้เจอไหม?”
ฮวาโหล่วที่นอนพลิกไปพลิกมาอยู่นาน และดูเหมือนจะนอนไม่หลับ เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยเองก็ยังไม่หลับ เธอจึงได้เอ่ยถามขึ้นเสียงเบา
สภาพแวดล้อมในเวลานี้นอกจากจะเงียบสงัดแล้ว ยังดูน่ากลัวไม่น้อย และหลังจากที่ฉีเล่ยได้ยินคำถามของฮวาโหล่ว เขาก็ไม่ได้ตอบกลับไปในทันที แต่กลับจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิดแทน
จากนั้นจึงได้ทำเสียงอยู่ในลำคอ “เอิ่ม…”
ฉีเล่ยหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “คุณถามแบบนี้ ผมเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี? เอาเป็นว่าผมจะพยายามอย่างดีที่สุดก็แล้วกัน อีกอย่าง กว่าที่ผมจะกลายมาเป็นแพทย์แผนจีนที่มีฝีมืออย่างทุกวันนี้ได้ ผมก็ผ่านอะไรมามากเหมือนกัน เอาเป็นว่า พวกเราต่างก็พยายามทำอย่างสุดความสามารถก็แล้วกัน ส่วนผลจะเป็นยังไงก็อย่าเพิ่งไปคิดเลยดีกว่า”
ฮวาโหล่วถึงกับหัวเราะออกมา ก่อนจะเล่าให้ฉีเล่ยฟังว่า “ฮ่าๆๆ พวกเราสองคนมีอะไรเหมือนๆกันเยอะเลย ที่หมู่บ้านของฉันก็เหมือนกัน การที่เด็กสาวคนหนึ่งจะกลายมาเป็นแพทย์แผนจีนได้ มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างมากสำหรับทุกคนเลยล่ะ”
“ถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยชอบอาชีพนี้เท่าไหร่ แต่ในเมื่อภารกิจตกอยู่ในมือ ก็เพียงแค่ต้องยอมรับชะตากรรม”
ฮวาโหล่วนอนเหม่อมองทอดสายตาออกไปไกล แม้จะอยู่เพียงแค่ในเต็นท์ จากนั้นจึงเริ่มพูดขึ้นอย่างช้าๆ
“นายรู้ไหมว่า ฉันรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหน ที่ต้องเห็นผู้คนทุกข์ทรมานเพราะความเจ็บไข้ได้ป่วย?”
นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ฉีเล่ยได้รู้จักฮวาโหล่วจริงๆ เขาจึงได้แต่ปลอบประโลมกลับไปว่า
“อย่าคิดมากไปเลย รีบนอนหลับเอาแรงจะดีกว่า”
ระหว่างที่พูดนั้น ฉีเล่ยก็เอามือออกจากถุงนอน แล้วเอื้อมออกไปลูบไล้ศรีษะของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูดต่อว่า
“พรุ่งนี้พวกเรายังต้องเดินทางต่อนะ”
ฮวาโหล่วพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมา จากนั้นจึงได้หลับตาลงทันที ในขณะที่ฉีเล่ยไม่กล้าที่จะนอนหลับลึกมากนัก เพราะในสถานที่กลางป่าเปลี่ยวแบบนี้ มีโอกาสที่สิ่งแปลกประหลาดจะบุกเข้ามาในเต็นท์ของเขาเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้น เนื่องจากสองวันที่ผ่านม าเขาเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาก อีกทั้งยังมีเรื่องกดดันทางจิตใจไม่น้อย แม้ฉีเล่ยอยากจะตื่นตัวให้ได้ตลอดทั้งคืน แต่มันก็ยากเกินไปสำหรับเขาที่จะทำให้ได้แบบนั้น และในที่สุดเขาก็เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าอย่างที่สุด
แต่ในระหว่างกลางดึกนั้น จู่ๆ ฉีเล่ยก็สะดุ้งตื่นเพราะมีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่ใกล้ๆกับเต็นท์ของเขา เขารีบลุกขึ้นนั่งและดึงถุงนอนออกทันที จากนั้น จึงค่อยๆเดินไปหน้าประตูเต็นท์
เขาได้ยินเสียงหายใจหอบดังขึ้น แม้จะเป็นเสียงที่ไม่ได้ดังนัก แต่ในยามค่ำคืนกลางป่าที่เงียบสงัดนี้ เสียงนั้นกลับดังชัดเจนอย่างมาก
ฉีเล่ยได้แต่ยืนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น และไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหวใดๆ เพราะเกรงว่าจะเป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว
ในค่ำคืนนี้แสงจันทร์ไม่ได้สว่างไสวนัก บนท้องฟ้ามีเมฆดำมากมายปรากฏขึ้น และฉีเล่ยเองก็ไม่อาจบอกได้ว่า เงาตะคุ่มด้านนอกนั้นเป็นเงาของคน หรือว่าสัตว์ป่ากันแน่
แต่หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว ฉีเล่ยก็ไม่สามรถลังเลอะไรได้อีก นั่นเพราะหากปล่อยให้อีกฝ่ายชิงลงมือได้ก่อน อาจเกิดความไม่ปลอดภัยกับฮวาโหล่วก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงได้ตัดสินใจควบคุมพลังหยินและหยางในร่าง แล้วเปิดประตูเต็นท์วิ่งออกไปทันที
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเงาดำนั้นกลับเคลื่อนไหวได้รวดเร็วอย่างมาก แม้ฉีเล่ยจะมั่นใจว่า ตนเองนั้นรวดเร็วมากแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับเร็วมากยิ่งกว่า และทันทีที่ฉีเล่ยเปิดประตุพุ่งออกไป มันก็ได้หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
ต้องไม่ใช่คนแน่ๆ!
ถึงแม้จะเห็นเพียงแค่แวบเดียว ฉีเล่ยก็มั่นใจว่าไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน เพราะรูปร่างของมันเล็กกว่ามนุษย์มาก
ฉีเล่ยลืมไปเลยว่า ฮวาโหล่วยังคงนอนหลับอยู่ในเต็นท์ เขารีบวิ่งไล่ตามเงาสีดำนั้นไปทันที
ฟิ้ว..
ฉีเล่ยวิ่งไปด้วยความเร็วสูงจนน่าตกใจ นั่นเพราะเวลานี้ พลังหยินและหยางได้เคลื่อนมาอยู่ที่ฝ่าเท้าของเขาทั้งสองข้างแล้ว
หลังจากวิ่งตามเข้าไปในป่าลึกอยู่ครู่ใหญ่ ฉีเล่ยก็เริ่มรู้สึกว่า พลังหยินและหยางในร่างได้ค่อยๆหมดไป ในที่สุดจึงต้องหยุดวิ่งพร้อมกับหายใจเหนื่อยหอบ
หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็ได้หยิบยาเม็ดหนึ่งโยนเข้าปาก และรอคอยให้ร่างกายมีไออุ่นเพิ่มมากขึ้น จึงค่อยหันหลังเดินกลับไปที่เต็นท์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน