ตอนที่ 46 เด็กสาวป่วยหนัก
“ฉันไม่มีเวลาที่จะอยู่ต่อนานกว่านี้แล้ว! หลายคนโทรมาตามให้ฉันรีบกลับปักกิ่ง มีงานเร่งด่วนที่รอให้ฉันกลับไปสะสาง!”
ภายในห้องเพรสซิเดนท์สูทของโรงแรมฮัวเยวี่ย หลี่ฉั่วเฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับฉีเล่ยที่นั่งอยู่ตรงข้ามต่อว่า
“เธอตัดสินใจแน่นอนแล้วใช่มั๊ย? ไม่คิดที่จะใคร่ครวญดูเสียหน่อยเหรอ ความจริงฉันว่า ตำแหน่งแพทย์พิเศษอาวุโส น่าจะเหมาะกับเธอมากกว่า!”
“ไม่ดีกว่าครับ!” ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมา
หลังจากที่ได้คุยกับฉีเล่ยเพียงสั้นๆทางโทรศัพท์ หลี่ฮั่วเฉินก็ได้เชิญฉีเล่ยมานั่งคุยที่โรงแรม
หลังจากใคร่ครวญข้อเสนอของหลี่ฮั่วเฉินอยู่นาน ในที่สุดฉีเล่ยก็ตัดสินใจเลือกที่จะเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแพทย์ เพราะรู้สึกว่า น่าจะเป็นเหมาะกับเขามากที่สุด
หลี่ฮั่วเฉินจึงตอบกลับไปทันที “ตกลง! ฉันจะได้ให้เลขาจัดการจองตั๋วเครื่องบินกลับปักกิ่งพรุ่งนี้เลย เพราะมีงานด่วนต้องรีบกลับไปสะสาง ฉันจะเดินทางไปล่วงหน้าก่อนก็แล้วกัน..”
หลังจากนั้น อาวุโสหลี่ก็ได้เขียนที่อยู่ไว้ให้กับฉีเล่ย และบอกกับเขาว่า เมื่อไปถึงปักกิ่งให้ไปตามที่อยู่นี้
ฉีเล่ยรับกระดาษแผ่นนั้นมา พร้อมกับบอกลาหลี่ฮั่วเฉิน ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
…….
หลังจากนั้นราวสองสามวัน ฉีเล่ยก็ได้เตรียมตัวที่จะเดินทางไปปักกิ่ง..
ตามแผนเดิมนั้น เฉินอวี้หลัวและซูชางฉิน จะต้องเดินทางไปปักกิ่งพร้อมกับชายหนุ่ม แต่บังเอิญเกิดเหตุการณ์เร่งด่วนที่ไม่คาดคิดขึ้นเสียงก่อน จู่ๆผู้ป่วยสองรายในแผนกที่เฉินอวี้หลัวดูแลอยู่ กลับมีอาการหนักอย่างกะทันหัน และหญิงสาวก็ได้รับคำสั่งให้เป็นผู้รับเคส
แม้ว่าเฉินอวี้หลัวอยากจะเดินทางไปพร้อมกับสามี แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีต่อคนไข้ ทำให้เธอต้องอยู่ทำการผ่าตัดคนไข้ให้เสร็จสิ้น และต้องอยู่ดูแลจนกว่าคนไข้ทั้งสองจะฟื้นตัว
และเฉินอวี้หลัวก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก..
ฉีเล่ยซึ่งนอนอยู่บนเตียง หันไปโอบกอดภรรยาพร้อมกับบอกไปว่า “ผมจะรอจนกว่าคนไข้ของคุณจะฟื้นตัวแล้วค่อยเดินทาง ผมไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก”
เฉินอวี้หลัวที่กำลังใช้นิ้วมือเขียนวงกลมเล่นบนแผ่นอกของฉีเล่ย เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม พร้อมตอบกลับไปในทันที
“ไม่ได้นะ! ในเมื่อรับปากอาวุโสหลี่ไปแล้ว นายก็ควรต้องรีบเดินทางไปให้เร็วที่สุด เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจไปว่า นายอวดดี ถือว่าตัวเองเป็นหมอที่มีความสามารถ ก็เลยถือวิสาสะที่จะทำอะไรตามใจชอบก็ได้!”
หญิงสาวซุกไซ้ใบหน้าไปที่ลำคอของฉีเล่ยด้วยความรู้สึกสบาย ก่อนจะพูดต่อว่า “นายเดินทางไปก่อนจะดีกว่า จะได้ไปทำความคุ้นเคย แล้วก็ปรับตัวให้เข้ากับที่นั่นให้ได้ เพราะกว่าคนไข้ทั้งสองคนของฉันจะฟื้นตัว คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นเดือนเชียวล่ะ ”
“เฮ้อ.. แบบนี้พวกเราสองคนก็ต้องแยกจากกันน่ะสิ!” ฉีเล่ยถึงกับถอนใจ
เฉินอวี้หลัวปัดผ้าห่มที่คลุมตัวออก แล้วจึงเปลี่ยนไปนอนทับร่างของฉีเล่ยไว้ พร้อมบอกกับชายหนุ่มไปว่า
“นั่นสินะ! ถ้าอย่างนั้นก่อนจะต้องแยกกัน เราสองคนมาสร้างความทรงจำดีๆกันดีกว่า!”
ระหว่างที่กระซิบบอกฉีเล่ยนั้น หญิงสาวก็ถึงกับหน้าแดงก่ำ..
…….
เช้าวันรุ่งขึ้น ที่ท่าอากาศยานหนานหยาง..
หลังจากที่ข่าวคราวเรื่องฉีเล่ยจะย้ายไปทำงานที่ปักกิ่งแพร่สะพรัดออกไปนั้น หลายคนที่รู้จักกับชายหนุ่ม ต่างก็พากันแห่มาส่งเขาที่สนามบินกันเกือบหมด รวมถึงพ่อลูกสกุลหวู่ หวังเทียนหัง และเนี่ยจิง ทุกคนต่างพากันมาพร้อมหน้า
หลังจากร่ำลาทุกคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็ได้เดินเข้าไปเช็คอิน ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในโดยมีกวนไห่ผิงลากกระเป๋าเดินทางตามหลังชายหนุ่มไป
ระหว่างนั้น ฉีเล่ยก็หันมาพูดกับกวนไห่ผิงว่า “เถ้าแก่กวน คุณเองก็กลับไปได้แล้ว อย่าลืมทำตามที่ผมสอนล่ะ! รับรองได้ว่าอาการของคุณจะไม่กำเริบในระยะเวลาสั้นๆ นี้แน่!”
“ครับท่านหมอเฉิน!”
กวนไห่ผิงพยักหน้า และตอบฉีเล่ยกลับด้วยท่าทางเคารพนบนอบ “รอให้ผมจัดการขายของเก่าในร้านที่เหลือให้หมดก่อน แล้วผมจะตามไปหาท่านหมอที่ปักกิ่งนะครับ!”
ฉีเล่ยยกมือขึ้นตบไหล่กวนไห่ผิงแทนคำตอบ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเดินทางในมือของเขามา ก่อนจะเดินลากกระเป๋าไปที่จุดตรวจสัมภาระ ซึ่งอยู่ด้านหน้าทางเข้าไปด้านในของสนามบิน
“ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ไฟลท์ CA666 หนานหยาง-ปักกิ่ง กำลังจะเทคออฟในหกนาที ผู้โดยสารท่านใดยังไม่ได้ขึ้นเครื่อง กรุณาไปที่ประตูหมายเลข 6 โดยเร็วด้วยค่ะ!”
หลังจากได้ยินเสียงประกาศของทางสนามบิน ฉีเล่ยจึงรีบลากกระเป๋าวิ่งไปที่ประตูหมายเลข 6 ทันที
นั่นเพราะหลังจากที่ผ่านจุดตรวจสัมภาระไปแล้ว ฉีเล่ยก็ไปนั่งอยู่ในเลาจน์ของทางสายการบิน และได้เผลอหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงประกาศเรียกครั้งที่สามจากสายการบิน ฉีเล่ยจึงรีบวิ่งไปตามทางเดิน มุ่งหน้าไปที่ประตู 6 ทันที
ระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังวิ่งไปตามทางเดินนั้น เสียงร้องตะโกน “หลีกไปให้พ้นทาง!” ก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม และเมื่อหันหลังกลับไปมอง ฉีเล่ยก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว จนเกือบจะชนตนเองเข้า
“หลีกไปพ้น!”
เด็กสาวใช้มือผลักร่างของฉีเล่ยอย่างแรง และยังคงวิ่งต่อไปข้างหน้าไม่หยุด ฉีเล่ยได้แต่มองตามแผ่นหลังของเด็กสาวไป พร้อมกับส่ายหน้าไปมา ปากก็พึมพำออกมาเบาๆ
“เฮ้อ.. น่าเสียดาย! หน้าตาสะสวยทีเดียว แต่กลับป่วยหนัก!”
แต่คำพูดของฉีเล่ยดันไปเข้าหูของเด็กสาวเข้า เธอถึงกับหยุดชะงัก และหันกลับมามองฉีเล่ยตาขวาง พร้อมกับตวาดใส่เขา
“คุณว่าใครป่วยหนัก?”
“…”
ฉีเล่ยถึงกับนิ่งอึ้งพูดไม่ออก และได้แต่คิดในใจว่า ‘ผู้หญิงคนนี้หูดีชะมัด! ฉันแค่พึมพำเบาๆ ก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน!’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน