ตอนที่87 ฉันดันฆ่าคนไปแล้ว
อย่างที่เขาว่ากัน วิธีดับไฟป่าก็ต้องใช้ไฟป่าเข้าดับ
อาจารย์ฉีใช้อารมณ์เข้าปะทะ เธอเองก็จำเป็นต้องใช้อารมณ์เพื่อเอาชนะเช่นกัน
เหอจื่อคิดเช่นนั้น
อาจารย์งั้นเหรอ?
อาจารย์ก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเราๆ เมื่อโดนตำหนิก็ควรแสดงความจริงใจออกหน้ารับผิดอย่างกล้าหาญ แค่นี้อาจารย์ก็ไม่สามารถบ่นอะไรได้อีกต่อไปแล้ว
แน่นอนว่าคล้อยหลังสบตากันสักพัก สายตาแข็งกร้าวของฉีเล่ยก็เริ่มอ่อนลง เพราะรู้สึกว่าการที่ต้องจ้องตากับนักศึกษาสาวสวยท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้เป็นเวลานาน มันดูคลุมเครือแปลกๆ…
ฉีเล่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“ผมไม่สามารถตำหนิพวกคุณได้อยู่แล้ว เอาล่ะทุกคน เขียนสูตรตามที่ผมจดหน้ากระดานต่อไปนี้ แล้วเอาไปท่องจำให้ขึ้นใจ”
“ห่ะ?”
เหอจือร้องอุทานขึ้นเจือสีหน้างุนงง
ฉีเล่ยเหลือบหางตามองเธอเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ในฐานะแพทย์ของคุณ คุณได้ฆ่าคนไปแล้วหนึ่งชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นทำผิดพลาดเหมือนคุณอีก ผมจำเป็นต้องให้ทุกคนจดสูตรยาที่ถูกต้องลงไปครับ”
เหอจื่อไม่สามารถฝืนกลั้นความขมขื่นภายในใจได้อีกต่อไป
เด็กสาวอายุเพียง20ปีที่ไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตมากมายนัก และไม่เคยต้องลำบากมาก่อน ไม่ว่าเธอจะพยายามทำตัวแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เบื้องลึกแล้ว เหอจื่อเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย
เมื่อเจอแรงกดดันทางจิตวิทยาเข้าไปขนาดนี้ แม้คำพูดของฉีเล่ยจะดูไม่รุนแรงอะไรเลย แต่ด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์นั้น กลับทำเอาจุกจนบรรยายไม่ถูก กำแพงความแข็งแกร่งที่เธอพยายามสร้างขึ้นกลับพังทลายลงอย่างง่ายดาย
เหอจื่อรู้สึกผิดอย่างมาก จนท้ายที่สุดก็นั่งน้ำตาไหลอาบแก้ม
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถามคำถามในชั้นเรียน ยังไม่ถือเป็นการสอบย่อยด้วยซ้ำ เธอแค่ตอบผิดไปเล็กน้อยก็นับเป็นการฆ่าคนแล้วเหรอ? แต่สุดท้ายก็แก้คำตอบจนถูกไม่ใช่รึไง? กับอีแค่ตอบคำถาม ทำไมต้องพรรณนาไปไกลขนาดนั้นด้วย?
ภายในใจอันว้าวุ่นของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
แต่ถึงแบบนั้น สีหน้าการแสดงออกของฉีเล่ยที่มีต่อเธอในขณะนี้ มันราวกับว่าเขากำลังผิดหวังและเศร้าใจยิ่งกว่าอะไร เสมือนว่าเธอเพิ่งฆ่าใครตายสักคนจริงๆ เหอจื่อพยายามกลั้นน้ำตาสุดกำลัง ทว่าท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหวและระเบิดน้ำตาปล่อยโฮออกมา
ทันใดนั้นเองเธอก็เพิ่งตระหนักได้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของอาจารย์ฉีขึ้นมาได้
จะเกิดอะไรขึ้นถ้านี่ไม่ใช่เป็นเพียงคำถาม แต่เป็นใบสั่งยาจีนสำหรับผู้ป่วยจริงๆ?
สำหรับแพทย์คนใดที่ประสบเหตุการณ์เช่นนี้อยู่ มันไม่ได้หมายความแค่ว่า ขอโทษแล้วจะหาย หรือสอบซ่อมเดี๋ยวก็ผ่าน แต่นั่นเท่ากับการทำลายอนาคตบนเส้นทางการแพทย์ของตัวเองโดยสมบูรณ์ การรักษาผู้ป่วยจนผิดพลาดถึงตายนับเป็นฝันร้ายที่จะสลักลึกลงไปในใจของแพทย์ผู้นั้นไปชั่วชีวิต
จุดประสงค์หลักที่ฉีเล่ยต้องการถามคำถามกับนักศึกษาในวันนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำผิดพลาดในชีวิตจริง
ถ้ามองอีกมุมหนึ่งคือ ที่อาจารย์ฉีต้องจริงจังขนาดนี้ก็เพราะหวังดีกับพวกเขาทั้งสิ้น
“หนูผิดเองค่ะ”
เหอจื่อปาดน้ำตาบนใบหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวต่อว่า
“อาจารย์ฉี หนูจะจำให้ขึ้นใจเลยค่ะว่า ทุกชีวิตของผู้ป่วยอยู่ในมือหนูแล้ว! ขอบคุณค่ะ!”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้นและน้ำเสียงที่มุ่งมั่นของเธอ ทัศนคติของฉีเล่ยที่มีต่อเธอก็เปลี่ยนไป สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายขึ้นมากและพยักหน้าตอบไปว่า
“ดีมาก เพราะทุกชีวิตของผู้ป่วยอยู่ในมือเรา ดังนั้นเราควรจะอุทิศตนรักษาพวกเขาด้วยหัวใจ”
จากนั้นเขาก็กวาดสายตาไปรอบห้องและกล่าวขึ้นโดยไม่รู้ตัวว่า
“ผมอยากให้ทุกคนจดจำประโยคต่อไปนี้ให้ขึ้นใจจนวันตาย หมอต้มตุ๋นยังด้อยกว่าสถานที่ที่ไร้หมอ ไม่มีหมอสักคนยังดีกว่ามีหมอต้มตุ๋น สิ่งที่เราต่างจากคนพวกนั้นก็คือองค์ความรู้”
เมื่อเขาเอ่ยปากกล่าวแบบนี้ออกไป ฉีเล่ยก็ชะงักไปเล็กน้อยประหลาดใจกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง
ตอนที่เขาได้รับสืบทอดมรดกความรู้จากบรรพบุรุษสกุลเฉินครั้งแรก ภายในห้วงจิตวิญญาณของเขาก็สัมผัสได้ถึงองค์ความรู้มากมายมหาศาล แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยยังไม่อาจละเลยได้ แม้จะมีมากมายมหาศาล แต่ก็ราวกับเชี่ยวชาญแล้วในทุกศาสตร์แขนง
เขาใช้ระยะเวลาเพียงชั่วครู่เดียวในการทำความเข้าใจและย่อยองค์ความรู้อันแสนลึกซึ้งเหล่านี้ ทว่ามีเพียงประโยคคำพูดเดียวที่จิตวิญญาณบรรพบุรุษสกุลเฉินกล่าวย้ำกับเขาซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดหย่อน
‘หมอต้มตุ๋นยังด้อยกว่าสถานที่ที่ไร้หมอ ไม่มีหมอสักคนยังดีกว่ามีหมอต้มตุ๋น สิ่งที่เราต่างจากคนพวกนั้นคือองค์ความรู้’
บรรพบุรุษสกุลเฉินกล่าวย้ำประโยคนี้กับตัวเขามากกว่าพันรอบ
ฉีเล่ยสัมผัสได้ถึงความพยายามอุตสาหะอย่างยิ่งยวดที่บรรพบุรุษพยายามเน้นย้ำ ดังนั้นแล้ว ฉีเล่ยจึงหวังว่าลูกศิษย์ของเขาเองก็ควรได้รับฟังประโยคคำพูดนี้เช่นกัน
“อาจารย์ฉีค่ะ”
ขณะที่เหอจื่อกำลังเช็ดน้ำตา เธอก็เอ่ยเรียกเขาอีกครั้ง
ฉีเล่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ว่าไง? ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้เหรอ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน