ยอดคุณหมอสกุลเฉิน นิยาย บท 97

สรุปบท ตอนที่ 97 ร้อยต่อหนึ่ง: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอน ตอนที่ 97 ร้อยต่อหนึ่ง จาก ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 97 ร้อยต่อหนึ่ง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายAction ยอดคุณหมอสกุลเฉิน ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่97 ร้อยต่อหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาจริงขึ้นมา จินเซิงก็รีบชูขวดปากฉลามขึ้นจ่อตรงหน้าทันที

ฉีเล่ยฉุดแขนของเขากลับมาพร้อมตะโกนสั่งว่า

“ไปหลบหลังผม”

“อาจารย์ฉี…”

“ไปหลบหลังผมให้หมด ห้ามใครขยับเด็ดขาด”

น้ำเสียงของฉีเล่ยฟังดูเด็ดขาดราวกับใครกล้าขัดคำสั่งคนนั้นตาย!

“ดีที่แกยังมีความกล้าอยู่บ้าง”

ชายวัยกลางคนเอ่ยปากชมและหันไปสั่งการว่า

“ทำให้มันเป็นง่อยก่อน”

บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำคนแรกพุ่งโจมตีเข้าใส่โดยตรง ทว่าไม่นานฉีเล่ยก็ยกมือขึ้นรับกำปั้นอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย เสี้ยวอึดใจต่อมา ดัชนีทั้งสามสิบสองจุดถูกสกัดทั่วร่างกำยำใหญ่ของบอดี้การ์ดคนนั้นอย่างรวดเร็วจนยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่า ก่อนจะล้มลงกับพื้นเห่าหอนคร่ำครวญเสียงดังสนั่นด้วยความเจ็บปวด

บอดี้การ์ดคอที่สองพุ่งเข้ามาตรงหน้า ทว่าผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม

ขณะที่บอดี้การ์ดคนที่สามกำลังเข้าโจมตี กลับหยุดชะงักกลางทาง…

เขารู้สึกสับสนอย่างยิ่งกับอาการบาดเจ็บของสหายสองคนก่อนหน้า ไม่ทราบเลยสักนิดว่าฉีเล่ยทำได้อย่างไร คล้ายว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวอะไรสักอย่างเป็นเงาซ้อนวูบวาบ เพียงชั่วพริบตาต่อมา สหายทั้งสองของเขาก็นอนกองกับพื้นแล้ว

ชายวัยกลางคนตะโกนขึ้นทันทีว่า

“ระวังตัวด้วยพวกแก! ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา!”

“หัวหน้า ผมใช้มีดได้ไหมครับ?”

บอดี้การ์ดคนที่สามเอ่ยถามขึ้น

“ใช้ไปเถอะ ไม่ต้องซ่อน”

น้ำเสียงที่เปล่งดังออกมาของชายวัยกลางคนดูไม่แยแส และไม่ได้เกรงกลัวเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นหรือตาย

บอดี้การ์ดคนหนึ่งตะโกนขึ้นทันทีว่า

“พี่น้อง จุดไฟบนมีด!”

ฉีเล่ยขมวดคิ้วขึ้นทันที ต่อให้ร้อยต่อหนึ่ง มันก็ไม่ใช่คู่มือของเขาเลยก็จริง แต่จะให้ปกป้องพวกนักศึกษาระหว่างต่อสู้กับพวกใช้อาวุธโดยไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ มันถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก ในท้ายที่สุดนี้จำนวนเด็กที่เฉีเล่ยจำเป็นต้องปกป้องมีมากเกินไป เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมุ่งจุดสนใจในการพิฆาตศัตรูทั้งหมดโดยเร็วที่สุด คมมีดไม่มีตา ดังนั้นก็ต้องจัดการกับคนถือคมมีดก่อนเป็นอับดับแรก ถ้าเด็กๆพวกนี้เป็นอะไรขึ้นมาเกรงว่าเรื่องจะไม่จบเพียงเท่านี้แน่นอน

ไม่ต้องพูดถึงบาดแผลที่อาจเกิดจากคมมีดฟันใส่ เพียงแค่เกิดรอยแผลช้ำม่วงหรือห้อเลือดกับพวกนักศึกษาแค่สองสามคนก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่มีข้อกังวลเรื่องพวกนี้เลย กล่าวได้ว่าเมื่อปราศจากข้อจำกัดหรือเงื่อนไขต่างๆภายใต้สถานการณ์การต่อสู้ พวกย่อมสะดวกในการลงมือกว่าฉีเล่ยมาก คมมีดติดไฟที่เกิดจากการราดน้ำมันใส่ปรวดพุ่งมาที่หน้าอกของฉีเล่ย ทันที ส่วนอีกเล่มหนึ่งหันทิศทางไปหาพวกกลุ่มนักศึกษา ดูจากท่าทางของคนพวกนี้แล้ว มันคิดจะเอาถึงตายจริงๆ

คมมีดติดไฟนับไม่ถ้วนพวยพุ่งกระหน่ำเข้าใส่โดยพร้อมเพรียง จากรูปการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนว่าฉีเล่ยกำลังตกอยู่ในอันตราย ทว่าความเป็นจริง เขากลับสามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างง่ายดาย เบี่ยงตัวหลบไปทางซ้านทีขวาที หลบปลายคมมีดที่จู่โจมเข้าใส่ สกัดขาป้องกันไม่ให้พวกที่เหลือมุ่งคมมีดใส่เหล่าลูกศิษย์ของเขาได้ พอได้จังหวะโต้สวนก็หยิบใช้ดัชนีจิ้มทะลวงเข้ากลางหน้าผากของบอดี้การ์ดคนหนึ่ง เสมือนกับว่าจู่ๆบอดี้การ์ดคนนี้ก็ธาตุไฟแตกซ่าน กรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ก่อนจะหมดสติลงไป อีกคนรีบตรงเข้ามาตรงหน้าพร้อมคมมีดติดไฟภายในมือ ทว่าก่อนจะเข้าถึงตัวฉีเล่ยได้ ขาทั้งงสองข้างพลันรู้สึกชาเฉียบพลัน และล้มหัวทิ่มกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

จินเซิงไม่สามารถทนดูอยู่เฉยๆได้อีกต่อไป เขารีบกระโดดเข้าร่วมการต่อสู้ทันที โดยยกขวดปากฉลามขึ้นกระสวกท้องบอดี้การ์ดคนหนึ่งที่ลอบโจมตีใส่ฉีเล่ยจากด้านข้าง เลือดสดสีแดงฉานพุ่งทะลักออกมาอย่างกับน้ำพุ ยกมือขึ้นกุมหน้าท้องด้วยความเจ็บลปวดก่อนจะล้มตึงลงกับพื้นในที่สุด

เมื่อเห็นเจียเซิงเปิดฉาก นักศึกษาชายที่เหลือก็แห่กันเข้ามาช่วยเหลือทันที

ฉีเล่ยที่เห็นดังนั้นถึงกับอุทานลั่นสาปแช่งในใจ ถ้าศัตรูทั้งหมดมุ่งเป้าหมายใส่เขาแค่คนเดียว มันจะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะจัดการกับพวกมันทั้งหมดในคราวเดียว แต่พอพวกลูกศิษย์ของเขาเคลื่อนไหว นั้นเท่ากับว่า พวกมันจะเริ่มเบนเป้าหมายไปทางอื่นนอกจากเขาแทนคล้ายกับมดแตกรัง ทุกอย่างจะเกิดความโกลาหลขึ้นทันที และฉีเล่ยเองก็ใช่ว่าจะมีสามหัวหกแขน ที่จะเข้าดูแลผู้คนจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้

ในเวลาแบบนี้ไม่รู้ทำไม ฉีเล่ยพลันรู้สึกคิดถึงกวนไห่ผิงขึ้นมาอย่างสุดซึ้ง ตราบใดที่กวนไห่ผิงอยู่ที่นี่และเข้าร่วมมือกับเขา ประสิทธิภาพในการต่อสู้คงเพิ่มพูนขึ้นอย่างน้อยสามเท่าทวี!

อัปเปอร์คัตใส่บอดี้การ์ดคนหนึ่งจนร่วงลงไป เหอจื่อรีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังโซฟามุมหนึ่ง เพื่อหลี้ภัยออกจากสมรภูมิเดือดแห่งนี้ชั่วขณะ จากนั้นเธอก็รีบหยิบมือถือโทรออกไปทันที

“มู่เซียวหยาน! ลูกสาวคนนี้ใกล้จะโดนแทงตายแล้ว!”

“หะ?!! แกอยู่ไหน? แกอยู่ที่ไหน?! ใครหน้าไหนมันกล้าแทงลูกสาวฉันห่ะ?! บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าแกอยู่ที่ไหน!!?”

ปลายสายโทรศัพท์ แม่ของเหอจื่อกรีดร้องลั่นทันทีด้วยความโกรธจัด

“อยู่ที่KTVโหย่วเฉียนเหยิน ถามทำไมเนี่ย? ตอนนี้หนูกำลังสู้กับพวกมันอยู่! จะตายอยู่แล้ว! แม่รู้ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”

เหอจื่อกล่าวโต้ทันทีอย่างกังวลใจ

“เจ้าเด็กโง่! ทำไมแกนี่ชอบทำให้ฉันเป็นห่วงนักนะ! รอก่อนนะ แม่ใกล้ไปถึงที่นั่นแล้ว!”

“แล้วแม่จะมาทำไมที่นี่! ให้พวกมันฆ่าทิ้งเล่นรึไง!? รีบส่งพ่อมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”

เหอจื่อแหกปากตะโกนลั่นแทบระเบิดอารมณ์ใส่แม่บังเกิดเกล้าเต็มทน เธอกลัวว่าแม่วัยใสของตัวเองจะมาฆ่าตัวตายที่นี่ซะมากกว่า

ชายวัยกลางคนผู้นั้นโยนก้นบุหรี่ทิ้ง พลางกระทืบเท้าบดละเอียดอยู่คาพื้น จากนั้นก็กวาดสายตามองดูสถานการณ์การต่อสู้อันแสนยุ่งเหยิงภายในห้อง เขากล่าวขึ้นว่า

“จู่ๆแกไปมีเรื่องกับไอ้หมอนี่ได้ยังไง? ไอ้หมอนี่เป็นคนที่ไม่ควรยุ่งด้วยแท้ๆ…แต่แกก็พาซวยจนได้! แกลองแหกตาดูสิว่า มีพี่น้องของฉันจำนวนมากแค่ไหนที่โดนมันจัดการไปภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ! ”

สีหน้าของหม่ารุ่ยดูน่าเกลียดอย่างมาก ใครจะไปคิดว่าหมอนี่จะเก่งด้านศิลปะการต่อสู้แบบนี้กัน? เขารีบกล่าวตอบไปทันที

“เวร! ผมไม่รู้จริงๆครับว่ามันจะสู้เก่งขนาดนี้ หรือ…ควรเรียกคนมาเพิ่มดีไหมครับ?”

“เรียกคนมาเพิ่ม? คนอย่างฉันเคยเรียกคนมาเพิ่มตั้งแต่ตอนไหนกัน! ถ้าทำแบบนั้นชื่อเสียงของพี่ชายแกคนนี้พังไม่เป็นท่า! ครั้งนี้แกทำมากเกินไปจริงๆ อย่าลืมชดใช้ความเสียหายที่ก่อไว้ด้วยหลังจากนี้ นี่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้เลย!”

“ครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเหล่าพี่น้องพวกนี้เพื่อเป็นการไถ่โทษทีหลังครับ”

ชายวัยกลางคนพยักหน้าและเดินขึ้นหน้าแผดเสียงตะโกนดังลั่น

“ทุกคนหยุด!”

เมื่อได้ยินเสียงคำสั่งการของเขา บอดี้การ์ดทุกคนในห้องพลันหยุดมือในทันที ส่วนพวกที่บาดเจ็บก็นอนร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดไม่หยุดหย่อนอยู่บนพื้น บางคนพยายามคลานเข้าหาแทบเท้าของชายวัยกลางคน

บอดี้การ์ดคนหนึ่งโดนขวดปากฉลามแทงบริเวณต้นขากระเผกเข้ามากล่าวว่า

“หัวหน้า พวกเราพยายามสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังหยุดพวกมันไม่ได้!”

ชายวัยกลางคนกล่าวตอบอย่างไม่ค่อยพอใจว่า

“ก็ใครขอให้พวกมันเป็นนักศึกษากันล่ะ! ถ้าเราเผลอฆ่าพวกมันไปจริงๆ มีหวังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกันที่นี่แน่นอน!”

ฉีเล่ยลูบข้อมือของตนเล็กน้อย สำหรับศึกการต่อสู้ครั้งนี้ เขาใช้พละกำลังที่มีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ แต่ก็ถือว่าได้ออกกำลังกายชุดใหญ่ หากเขาต้องเอาจริงกับคนพวกนี้ มีหวังพวกบอดี้การ์ดคงมีชะตากรรมแบบเดียวกับหลิวไห่หยางในตอนนั้นล

“คุณเองก็ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ?”

ฉีเล่ยหรี่ตาแคบจับจ้องไปที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นและกล่าวต่อว่า

“ทั้งๆที่รู้ว่าหากเผลอทำอะไรนักศึกษาพวกนี้ลงไป ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง? แต่คุณก็ยังเลือกที่จะลงมือ?”

คล้อยหลังพูดจบ ฉีเล่ยพลันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมันแปลกๆ ทั้งที่การต่อสู้ดังกล่าวกินพื้นที่เป็นวงค่อนข้างกว้าง น่าจะมีเสียงดังระหว่างชุลมุนเล็ดลอดบ้างไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมถึงไม่มีพนักงานของKTVออกมากันสักคน? แถมไม่มีใครโทรแจ้งตำรวจเลยด้วย?

ดูท่ากลุ่มคนพวกนี้น่าจะถาบทามไปบอกพวกKTVล่วงหน้าแล้ว หรือไม่แน่บางที คนพวกนี้อาจจะสมรู้ร่วมคิดกันตั้งแต่แรก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน