อ่านสรุป ตอนที่ 98 เกิดอะไรขึ้น? จาก ยอดคุณหมอสกุลเฉิน โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 98 เกิดอะไรขึ้น? คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายAction ยอดคุณหมอสกุลเฉิน ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ตอนที่98 เกิดอะไรขึ้น?
“ถ้าพวกเขาไม่ใช่นักศึกษา ป่านนี้คงพิการกันไปนานแล้ว”
ชายวัยกลางคนเอ่ยกล่าว
“ปล่อยพวกเขาไปซะ”
ฉีเล่ยกล่าวต่ออีกว่า
“ผมคือโจทย์ของหม่ารุ่ย คนอื่นไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย”
“ได้”
จู่ๆชายวัยกลางคนก็พยักหน้าตอบอย่างมีความสุขทันที
“ฉันเองก็ไม่อยากยุ่งกับเด็กพวกนี้เหมือนกัน”
ฉีเล่ยได้ฟังดังนั้นก็เหลียวหลังกลับไปตะโกนบอกพวกลูกศิษย์ว่า
“จินเซิง พาทุกคนออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
จินเซิงกัดฟันแน่นปฏิเสธยืนกรานปฏิเสธอย่างดื้อดึง และหันไปบอกเหอจื่อว่า
“เหอจื่อ เธอพาทุกคนออกไปก่อน! ฉันจะอยู่ที่นี่ช่วยอาจารย์ฉีสู้กับคนพวกนี้เอง!”
ถึงคราวของเหอจื่อกล่าวบ้าง เธอหันไปสั่งหยวนหยวนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หยวนหยวน พาทุกคนออกไปก่อน”
ครั้งนี้ถึงคราวของจ้าวหยวนหยวน เธอกวาดสายตามองไปโดยรอบ พร้อมกล่าวทั้งน้ำตาว่า
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น! ถ้าไปก็ไปด้วยกันสิ!”
“ใช่แล้ว! อยากแตะต้องตัวอาจารย์ฉีขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้างั้นก็ข้ามศพพวกเราไปก่อน!”
“ไอ้พวกบัดซบ! เข้ามา!!”
“….”
ฉีเล่ยปั่นป่วนท้องจนแทบจะระเบิดออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของบรรดาลูกศิษย์ พวกนายเข้าใจบ้างไหมว่า ยิ่งอยู่เป็นภาระตรงนี้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสร้างความลำบากให้ตัวฉันมากขึ้นเท่านั้น?
แต่ถึงอย่างนั้น ก็แทบไม่มีทางเลยที่เขาจะเกลี้ยกล่อมเด็กพวกนี้ได้ ในฐานะอาจารย์ของพวกเขา ฉีเล่ยกล้าพูดได้เต็มปากว่า ลูกศิษย์พวกนี้ทั้งเลือดร้อนและหัวรั้นมากกว่าใคร เรียกได้ว่า ยิ่งไล่ก็เหมือนยิ่งยุ
เขามองย้อนกลับไปที่บรรดาลูกศิษย์ของตนก่อนจะหันไปจับจ้องหม่ารุ่ย พลางคิดกับตัวเองว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนายแท้ๆ และเหตุการณ์ต่อจากนี้คงไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว
ชายวัยกลางคนที่สังเกตเห็นดังนั้นก็กล่าวกับฉีเล่ยว่า
“อาจารย์ที่สามารถชักจูงให้ลูกศิษย์เชื่องได้ขนาดนี้ นับว่าน่าชื่นชมจริงๆ”
“อย่ามาสรรเสริญเยินยอกันหน่อยเลย”
ฉีเล่ยกางมือกางเท้าเตรียมที่จะสู้ต่อ แม้ดูผิวเผินอาจเห็นเขากำลังยิ้มอยู่ก็ตาม แต่ภายในใจของชายหนุ่มนั้นกลับรู้สึกกังวลใจอย่างมาก เมื่อครู่อีกฝ่ายยั้งมือเอาไว้เพราะไม่ต้องการจะทำร้ายเด็กนักศึกษา แต่คราวนี้กลับเป็นกลุ่มเด็กๆเสียเองที่สมัครใจจะอยู่ต่อ อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมืออีกต่อไป เบื้องหน้าของเขามีศัตรูมากเกินไป ทั้งยังมีจำนวนลูกศิษย์ที่ต้องปกป้องมากเกินไปเช่นกัน มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะจัดการคนพวกนี้ แต่กลับไม่ง่ายเช่นกันที่ต้องคอยปกป้องลูกศิษย์ในเวลาเดียวกัน
ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ชายวัยกลางคนคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยปากเสนอขึ้นว่า
“เอาสิ สู้ก็สู้ ช่วงนี้ฉันกำลังฝึกมวยไทยพอดี ถ้าฉันแพ้ พวกแกก็ไปซะ แต่ถ้าฉันชนะ แกต้องมาขอโทษหม่ารุ่ย”
ฉีเล่ยกลับส่ายหัวตอบ
“ไม่เต็มใจรึไง? แกมีทางเลือกด้วยเหรอ?”
พวกบอดี้การ์ดกล่าวเยาะเย้ย
ฉีเล่ยกล่าวว่า
“เรื่องนี้เป็นปัญหาที่เขาก่อขึ้น ดังนั้นถ้าคุณแพ้ หม่ารุ่ยจะต้องมาขอโทษพวกผม ถ้าตกลงก็เริ่มกันเลย”
หม่ารุ่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็แทบอยากจะตะโกนด่าสาปแช่งใส่ไปสักชุด
“แกเป็นพวกชอบวางมาดสินะ? แล้วฉันก็ไม่ค่อยชอบพวกวางมาดสักเท่าไหร่”
ชายวัยกลางคนกล่าวต่ออีกว่า
“ได้! งั้นก็เริ่มกันเลย!”
ขณะที่กล่าวจบ เขาก็ถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกพร้อมถกแขนเสื้อขึ้น
ทันทีทันใดสีหน้าการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันตา ประดุจเสือโคร่งกระโดดลงมาจากหุบเขา เขาพุ่งพรวดเข้าจู่โจมฉีเล่ยด้วยความเร็วดุจดั่งสายฟ้าฟาด
..………
หยานเสวียเหลียงดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของKTVแห่งนี้ หรือภาษาบ้านๆก็คือผู้จัดการร้านนั่นเอง
เขากำลังโอบกอดสาวสวยคนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขน ขณะนั่งกินดื่มอยู่ในห้องคาราโอเกะส่วนตัว แต่ทันใดนั้นเสียงของลูกน้องคนหนี่งที่รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาอย่างร้อนใจ ก็ดึงดูดความสนใจของเขาเข้าทันที
“พี่หยาน เกิดเรื่องแล้ว!”
“แล้วมาบอกฉันทำไมวะ? จัดการเองไม่เป็นกันรึไง?”
หยานเสวียเหลียงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ที่ไอ้พวกลูกน้องเบี้ยล่างไม่รู้จักแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ทุกครั้งที่มีปัญหาก็จะเรียกหาแต่เขาอยู่เสมอ
“ครั้งนี้เรื่องใหญ่มากครับพี่หยาน!”
“เรื่องอะไร? ใครมันกล้ามามีเรื่องที่นี่! พูดมา! เกิดอะไรขึ้น?”
“เป็น…เป็นเรื่องของพี่ใหญ่เปียวครับ”
“…”
หยานเสวียเหลียงตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนได้สติกล่าวขึ้นว่า
“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว อย่าให้เกิดความเสียหายไปมากกว่านี้ เดี๋ยวฉันจะรีบตามไป”
หยานเสวียเหลียงโบกมือไล่อีกฝ่ายให้ออกไป ขณะเดียวกันสาวสวยในอ้อมแขนของเขาก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า
“เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะ?”
หยานเสวียเหลียงยกมือขึ้นมาบีบแก้มสีชมพูนวลสวยของเธอคนนั้น พร้อมตอบกลับไปยิ้มๆ
“ก็แค่มีใครบางคนอยากรนหาที่ตายเท่านั้นเองจ้ะ เราแค่มีหน้าที่สนองความปรารถนาของมัน กลับไปทำงานของเธอต่อเถอะ หลังเที่ยงคืนค่อยเจอกัน”
ในฐานะผู้จัดการร้านอย่างหยานเสวียเหลียง เขาควรจะมีหน้าที่ต้องออกไปหยุดทหารพวกนั้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเข้าไปไต่ถามว่า แห่กันมาที่นี่ทำไม? แต่ตรงกันข้าม เขากลับทำยืนตกใจช็อกแน่นิ่งอยู่หน้าประตูร้าน ไม่กล้าแม้แต่จะย่างเท้าออกไปขวางด้วยซ้ำ
หัวหน้า?
ลูกสาว?
บุกไปช่วยเธอ?
ด้วยสติปัญญาที่พอจะชาญฉลาดอยู่บ้างของเขา หยานเสวียเหลียงจึงสามารถประมวลเหตุการณ์ และเริ่มเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างได้ทันที ภายในใจปรากฏคำพูดอยู่เพียงไม่กี่คำ
ชิบหายแล้ว! นี่มันเรื่องใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอ?!
ทันทีที่ตระหนักได้ดังนั้น หยานเสวยีเหลียงก็รีบล้วงมือถือออกมาด้วยมือไม้ที่สั่นระริกราวกับคนถูกผีเข้า
“บอส! บอส! เมื่อครู่ผมรายงานผิดพลาดไป! ดูท่าภูมิหลังของอีกฝ่ายไม่ใช่ธรรมดาเลย…พวกมัน…พวกมันส่งกองทัพทหารบุกมาถึงร้านของเราแล้วครับ!!”
…………….
ฉีเล่ยไม่ค่อยมีประสบการณ์การต่อสู้มากมายเท่าไหร่นัก ดูเหมือนจะมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือเมื่อครั้งที่เฉินอวี้หลัวถูกลักพาตัวไป แต่ครั้งนั้นไม่เชิงคล้ายว่าจะเป็นการต่อสู้เท่าไหร่นัก ดูเหมือนจะเป็นการลอบสังหารหมู่อยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นฉีเล่ยยังไม่ค่อยรู้เรื่องมวยไทยเท่าไหร่ด้วย เคยดูแค่ผ่านๆจากทางทีวีเพียงสองหรือสามครั้งเท่านั้น สรุปได้สั้นๆว่า มวยไทยเป็นการต่อสู้ที่เน้นการเคลื่อนไหวที่หนักแน่น ทรงพลัง และต้องใจเหี้ยม นอกจากนี้ เขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมวยไทยอีกเลย
ซึ่งการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายก็รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่ทันพุ่งประชิดตัวเขา ฉีเล่ยกลับเห็นกำปั้นพุ่งเข้าใส่ใบหน้าเสียก่อนแล้ว ในชั่วขณะเดียวกัน อีกฝ่ายก็ยังตีเข่าขึ้นใส่ระหว่างออกหมัด เป็นการโจมตีจากสองทางในหนึ่งกระบวน
ฉีเล่ยตั้งใจที่จะเล่นกับอีกฝ่ายดูสักพัก จึงเปิดฝ่ามือข้างขวายกขึ้นรับกำปั้น พร้อมใช้ฝ่ามือข้างซ้ายกดต่ำเพื่อรับการตีเข่าจากอีกฝ่าย
เขายังพอทราบเกี่ยวกับศาสตร์การต่อสู้มวยไทยอีกอย่างว่า แก่นแท้ของมวยไทยอยู่ที่หมัด ศอกและเข่า เมื่อทราบเช่นนี้ ผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้มาเหมือนกัน ก็จะพอคาดเดาการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ไม่ยากนัก
นอกจากออกกระบวนป้องกัน ฉีเล่ยก็ไม่เขยับเท้าเลยแม้แต่นิ้วเดียว
ฉีเล่ยยืนหยัดอย่างมั่นคงประดุจภูเขาไท่ซาน ไม่มีแม้กระทั่งไหวติ่งสักนิด ไม่ว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้าจะเตะต่อยเท่าไหร่ เขายังคงใช้แค่คู่ฝ่ามือเข้าต้านรับ
คล้อยหลังต่อสู้กันเป็นระยะเวลานาน ชายวัยกลางคนก็เริ่มหอบเหนื่อยบ้างแล้ว เหลือบสายตามองฉีเล่ยแวบหนึ่งจึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่แกไม่คิดที่จะสู้กลับบ้างเลยเหรอ?”
ฉีเล่ยหัวเราะตอบไปว่า
“ผมยังเล่นสนุกไม่พอ”
เสมือนกับราดน้ำมันลงบนกองไฟ ชายวัยกลางคนไม่คิดจะออมมือให้อีกต่อไป ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเขาแปรเปลี่ยนดูซับซ้อนไปอีกขั้น ทว่าตอนนี้กลับไม่ใช่กำปั้นแล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้ศอกกับเข่าอย่างเต็มตัวแทน
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นก็ไม่นับว่าผิด แต่แก่นแท้ของศาสตร์แห่งมวยไทยที่แท้จริงอีกอย่างก็คือศอกกับเข่าล้วนๆ หากทั้งสองส่วนนี้สามารถผสานเข้ากันได้เป็นอย่างดี มวยไทยนี่แหละคือทักษะการฆ่าแห่งมัจจุราชที่เหี้ยมโหดที่สุด
ชายวัยกลางคนกระหน่ำตีศอกสลับกับเข่าเข้าใส่ฉีเล่ยอย่างต่อเนื่อง ทว่าแม้พลานุภาพการโจมตีนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่มันก็ไม่สามารถทะลวงฝ่าปราการป้องกันด้วยฝ่ามือของเขาได้เลย
เสี้ยวจังหวะอึดใจนั้นเอง ชายวัยกลางคนก็เล็งเห็นอีกฝ่ายเปิดช่องโหว่ ดวงตาสาดแสงประกายวาบ ประเคนศอกตีเข่าใส่กลางหน้าอกของฉีเล่ยอย่างแรง
ทางด้านฉีเล่ยที่เพิ่งใช้ฝ่ามือตั้งรับเข่าไปเมื่อครู่ แม้จะรีบชักมือกลับมาป้องกันแล้ว แต่นั่นน่าจะดูสายเกินไป
นักศึกษาคนหนึ่งร้องอุทานลั่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นหวั่นวิตกอย่างมาก
“อาจารย์ฉี! ระวัง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน