หลังจากทั้งสองคนได้หารือกัน โย่วฉางซิ่นได้เลือกกองกำลังทหารติดอาวุธมอบให้แก่อู๋เป่ยเป็นผู้นำจากกองทัพที่ห้า นอกจากนี้ยังมอบ ปืนใหญ่เซียน รถม้าศึกและรถโจมตีเมืองทั้งหมดให้แก่อู๋เป่ย
เมืองสุ่ยจิงนั้นอยู่ห่างจากเมืองต้าอูสองพันกว่าลี้ ทั้งสองฝ่ายเคยต่อสู้กันหลายต่อครั้ง ณ เมืองแห่งนี้ แต่สุดท้ายก็ยังถูกเผ่าเทพฉกชิงไปส่วนทางด้านเผ่าเซียนเหล่าทหารเซียนและเซียนแม่ทัพกว่าหลายล้านนายต่างก็สิ้นชีพที่เมืองสุ่ยจิง
ในคืนเดือนมืด อู๋เป่ยลงมือปฏิบัติการ เคลื่อนพลทหารนับแสนมาถึงนอกเมือง และอาศัยสภาพแวดล้อมที่มองไม่เห็นมิให้เผ่าเทพตรวจพบพวกเขา
อู๋เป่ยมองดูท้องฟ้าเหนือเมืองสุ่ยจิง มีเรือเหาะขนาดใหญ่สองลำที่มีความยาวหลายสิบลี้ลอยอยู่บนท้องฟ้า เรือบินแต่ละลำมีปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์หลายพันกระบอก รถม้าหน้าไม้และกองกำลังทหารเผ่าเทพกว่าแสนนาย
เขาถามชิงหมิง : “เรือเหาะพวกนี้ถ้าทำพังก็น่าเสียดายเกินไป ล้วนแล้วแต่เป็นเงินมหาศาล นายสามารถกลืนมันลงไปได้ไหม? ส่วนเผ่าเทพที่อยู่บนเรือก็ให้นายกินไป ส่วนเรือรบกับอุปกรณ์นายเก็บไว้ให้ฉัน”
ชิงหมิงมองมาแวบหนึ่งแล้วพูด : “เรื่องง่ายๆ ลงมือตอนนี้เลยไหม?”
อู๋เป่ย : "ไปเถอะ"
ชิงหมิงกลายเป็นแสงสีม่วงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า จากนั้นแสงสีม่วงก็ขยายออกเป็นปลาตัวใหญ่ที่มีปากขนาดใหญ่ เพียงแค่การดูดเพียงแค่ครั้งเดียวเรือเหาะทั้งสองคันก็ถูกมันดูดเข้าไป
หลังจากนั้น แสงสีม่วงหายไป เรือเหาะของเผ่าเทพหายสาบสูญไปเช่นเดียวกัน
อู๋เป่ย : “โจมตี!”
“ตูม!”
ปืนใหญ่หลายพันกระบอกยิงพร้อมกัน ระเบิดใส่กำแพงเมือง ในเวลาเดียวกันรถม้าศึกและรถโจมตีเมืองก็ปิดล้อมรุกคืบเข้ามาเช่นกัน
ปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์นับหมื่นกระบอกบนกำแพงเมืองก็ไหวตัวทันทีและกำลังจะเริ่มยิง แต่เวลานี้เอง มีเงาสายหนึ่งบินมาและใช้เพียงหมัดเดียวก็ตีทหารป้องกันเมืองจนแตกพ่ายและตกลงไปยังกำแพงเมือง เพียงโบกมือก็เกิดลมพายุพัดปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดออกไป
เมื่อไม่มีปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ แนวป้องกันเมืองก็ถูกทำลาย ทหารของอู๋เป่ยก็ต่างโจมตีเข้าไป พวกเราแต่ละคนมีอุปกรณ์ครบครันทั้งยังมีแสงอวยพรสีทองของอู๋เป่ยทำให้แต่ละคนแม้แต่หอกดาบก็แทงไม่เข้า เข้าห้ำหั่นกับกองทัพเผ่าเทพจนย่อยยับ
อู๋เป่ยกระทืบพื้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือน ดินเหนียวจำนวนไม่ถ้วนถูกหลอมขึ้นมาเป็นหุ่นเชิดหินเข้าช่วยเหลือกองทัพโจมตีเมือง
เมื่อไม่มีเรือเหาะและปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ กองทัพเผ่าเทพถอยทัพอย่างต่อเนื่อง เวลานี้เองเทพนับไม่ถ้วนและราชาเทพผู้หนึ่งออกมารับศึกก็ถูกอู๋เป่ยใช้หมัดต่อยจนตายไปสองคน ส่วนราชาเทพนั้นถูกดวงตาทั้งสองของอู๋เป่ยจ้องมองพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นหิน
เขาทุบรูปปั้นศิลาจนแตกแล้วก็โยนหินศักดิ์สิทธิ์ให้ชิงหมิง จากนั้นหยิบดาบขึ้นมาฆ่าล้างศัตรู
ไม่นานอู๋เป่ยได้เข้ายึดเมืองสุ่ยจิงก็ราวกับว่าเป็นเมืองร้างไร้ผู้คน ราษฎรภายในเมืองต่างก็ตายและบาดเจ็บไปไม่น้อย มีเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตจากการซ่อนตัว อู๋เป่ยจึงได้สั่งให้เหล่าทหารช่วยเหลือเข้าช่วยเหลือและวางแผนจัดการให้เหมาะสม
ในช่วงสุดท้ายของการสู้รบ ทันใดนั้นก็มีกองทัพขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งได้เข้าสังหารเหล่าทหารเผ่าเทพที่เหลืออยู่เพียงสองสามพันคนเสียสิ้น
เมื่อเห็นคนผู้นี้ใบหน้าของโย่วฉางซิ่นไม่น่าดูอย่างมาก เขาได้พูดกับอู๋เป่ยว่า : “พวกฉกฉวยผลประโยชน์มาแล้ว”
อู๋เป่ยนั้นพอมองออกว่าคนผู้นี้นั้นมาเพื่อแย่งผลงานเป็นแน่ อย่างไรก็ตามตนอุตสาห์ทุ่มเทวางแผนเข้ายึดชิงเมืองจะให้ผู้อื่นมาเอาเปรียบได้อย่างไร? เขาถาม : “พี่ชาย เจ้าหมอนี่ใคร?”
โย่วฉางซิ่น : “เป็นลูกเขยของนายกรัฐมนตรีทหาร ชื่อโอวหยางจื้อกัง คนผู้นี้ชื่นชอบแย่งความดีความชอบของผู้อื่นเป็นที่สุด วันนี้เกรงว่าพวกเราสองพี่น้องคงขาดทุนเสียแล้ว”
โอวหยางจื้อกังคนนั้นยืนอยู่บนท้องฟ้า เอ่ยเสียงดังว่า : “เก็บกวาดสนามรบให้เรียบร้อยแล้วนำอุปกรณ์ทั้งหมดเก็บให้ดี ฆ่าให้หมดอย่าเหลือไว้แม้แต่คนเดียว”
ฟังถึงตรงนี้ อู๋เป่ยโกรธเป็นอย่างมาก ในใจกล่าวว่าเจ้าหมอนี่ช่างหน้าไม่อาย!
เขาพูดอย่างทนไม่ไหวว่า : “ท่านแม่ทัพโอวหยาง เมืองสุ่ยจิงแห่งนี้เป็นพวกเราเอาชีวิตแลกมาจนได้ ตอนนี้คุณมาที่นี่หมายความว่าอะไร? ”
โอวหยางจื้อกังหันศีรษะมาและจ้องมองอู๋เป่ยด้วยแววตาเยาะเย้ย : “นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”
อู๋เป่ย : “รู้สิ เป็นลูกเขยของนายกรัฐมนตรีทหาร แต่ต่อให้มีฐานะเช่นนี้ก็ไม่สามารถที่จะมาแย่งความดีความชอบของผู้อื่นได้”
โอวหยางจื้อกังสีหน้ามืดครึ้ม : “เจ้าตัวบัดซบ! นายกล้าพูดกับฉันอย่างนี้ได้หรอ? ทหาร ลากมันไปตัดหัวซะ!”
ไม่นานก็มีคนมาถึงที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบการ
แต่ก็มีเซียนรับใช้มาตรวจสอบสาเหตุการตายของโอวหยางจื้อกังแล้วก่อนหน้านี้ อย่างไรซะก็เป็นถึงลูกเขยของนายกรัฐมนตรีทหาร ฐานะไม่ธรรมดาแต่ตรวจสอบแล้วก็คงไม่พบอะไร ผู้ใต้บังคับบัญชาของโอวหยางจื้อกังพูดอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นฝีมือของราชาเทพ พวกเขาก็ถูกทำให้ตกใจจนหนีไปคนละทิศคนละทาง
เรื่องแบบนี้พวกเขาย่อมไม่กล้าพูดเหลวไหล ดังนั้นความดีความชอบทางทหารย่อมตกเป็นของโย่วฉางซิ่นและอู๋เป่ย
ไม่นานผู้บัญชาการทหารก็ส่งคนออกคำสั่งหนังสือยกย่องแก่อู๋เป่ยและโย่วฉางซิ่น โดยแต่งตั้งอู๋เป่ยแทนที่โอวหยางจื้อกังที่เสียชีวิตไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพที่ 6 โดยให้เข้ารายงานตัวที่กองทัพใหญ่เพื่อเข้ารับตำแหน่งภายในสองวัน
จำนวนทหารในกองทัพโดยทั่วไปอยู่ระหว่างห้าแสนถึงหนึ่งล้านนาย แน่นอนว่าหากจำนวนทหารใต้บังคับบัญชาถึงสองล้านคน สามารถเรียกได้ว่าเป็นนายพล ซึ่งอยู่ในขั้นสอง
ไม่นานของรางวัลก็มาถึงแล้วซึ่งมากกว่าครั้งก่อนถึงสิบเท่า! อู๋เป่ยย่อมได้รับรางวัลตามผลงานและเหล่านายทหารต่างก็ดีใจและยินดีที่จะติดตามอู๋เป่ยไปยังกองทัพที่หกด้วยกัน
คืนนั้น โย่วฉางซิ่นจัดงานเลี้ยงอำลาอู๋เป่ย เพราะเช้าวันพรุ่งนี้อู๋เป่ยจะออกไปพร้อมกับเหล่าทหารของเขาเพื่อเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลกองทัพที่หก
วันรุ่งขึ้น อู๋เป่ยนำเหล่าทหารมุ่งหน้าไปยัง มณฑลซื่อสุ่ย
มณฑลซื่อสุ่ยเป็นสถานที่ที่เหล่าทหารต้องชิงมาเป็นจุดยุทธศาสตร์ สถานที่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยถูกราชวงศ์หนึ่งยึดครองไป ไม่กี่วันก่อนเพิ่งถูกยึดครอง บัดนี้ กองทหารเผ่าเทพกำลังทุ่มเทกำลังในการแย่งชิงมณฑลซื่อสุ่ย ดังนั้นสนามรบแห่งนี้จึงตึงเครียดเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ โอวหยางจื้อกังนั้นก็เพิ่งแย่งผลงานของผู้อื่นไป นายพลคนก่อนที่เพิ่งเข้ายึดมณฑลซื่อสุ่ยก็ถูกเขาแย่งชิงความดีความชอบไปเช่นกัน
ตอนนี้โอวหยางจื้อกังเพิ่งตายไป อู๋เป่ยจึงกลายเป็นนายพลผู้ว่าการทหาร
เมื่อมาถึงค่าย ก็เห็นเพียงทหารที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ภายในค่าย เหล่าทหารก็ต่างไม่มีระเบียบวินัยทหาร
ทันทีที่อู๋เป่ยมาถึง เขาก็อ่านคำสั่งของผู้บัญชาการทหารด้วยน้ำเสียงทุ้ม : “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันคือนายพลผู้ว่าการทหาร ขอให้นายทหารสูงสุดและนายพลระดับทั่วไปมารวมตัวที่กระโจมใหญ่”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอตาวิเศษ
เรื่องนี้ไม่มีเปิดให้อ่านฟรีประจำวันแล้วเหรอครับ *-*...
ทำไมบางตอนถึงสั้นจังครับ...
เสียตังด้วยออ...
ก็แค่นิยายก๊อปปี้เนื้อเรื่องกันไปมาทำไมต้องเสียตังอ่าน😛😛😛...
ชอบอ่านฟรีมากกว่า555...
เวปนี้เสียเงินด้วยหรือผมอ่านมาหลายเรื่องแล้วผึ่งมาเจอระยะหลังต้องเสียเงิน...
น่าจะมีหักทาง ทรูมันนี่วอเล็ตบ้างนะคับ...
ใครเคยเติมบ้างแล้วครับ เติมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง...
แล้วเติมเหรียญยังงัย...
อ่านมาเพิ่นๆหลังๆมาเสียตังซะแล้ว...