ยอดคุณหมอตาวิเศษ นิยาย บท 205

อู๋เหมยทำหน้าอยากรู้อยากเห็นและถามว่า “พี่ อะไรคือแย่งมาเกิดหรือ?”

อู๋เป่ยมองน้องสาวของตน และถอนหายใจเบาๆ “เรื่องนี้มันน่ากลัวมากเลยนะ เธออยากรู้จริงๆ หรือ?”

อู๋เหมยเบ้ปาก “ฉันฟังเรื่องผีมาตั้งแต่อายุสามขวบ เธอเคยเห็นฉันเคยกลัวมาก่อนไหมหล่ะ?”

อู๋เป่ยกระแอม “เอาหล่ะ งั้นฉันจะเล่าให้เธอฟัง”

เขาปิดประตูห้อง จากนั้นก็จุดบุหรี่มวนหนึ่งและถามว่า “เสี่ยวเหมย เธอเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหมหล่ะ?”

อู๋เหมยเบ้ปาก “ไม่เชื่อหรอก!”

อู๋เป่ยพูดต่อว่า “อันที่จริงแล้วทฤษฎีเรื่องการกลับชาติมาเกิดมันมีที่มา หากชั้นเง็กเซียนบำเพ็ญเพียรและมรณภาพในท่านั่งสมาธิ จิตวิญญาณไม่แตกสลาย ก็จะสามารถครองสติและกลับชาติมาเกิดในครรภ์ได้ นั่นเรียกว่าการกลับชาติมาเกิด”

อู๋เหมยตกใจ “นี่หรือคือการกลับชาติมาเกิด?”

อู๋เป่ย “เข้าใจประมาณนี้ แต่บางครั้งการปลูกฝังสิ่งชั่วร้ายมันก็สามารถกลับชาติมาเกิดได้เหมือนกัน มันจะกลืนกิน ดูดซับและหลอมรวมจิตใต้สำนึกของทารกในครรภ์นั้นเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงเรียกว่าแย่งทารกมาเกิดยังไงเล่า”

“พี่ หลังจากที่เขาแย่งทารกมาเกิดแล้ว เขาจะเป็นคนปกติไหม?”

“เป็นสิ แต่พวกเขาจะมีความทรงจำของชาติที่แล้วด้วย พวกเขาจะรู้วิธีการฝึกฝนได้เองตั้งแต่แรกเริ่ม แถมยังใช้ความรู้ที่สะสมมาตั้งแต่ชาติที่แล้วได้อีกด้วย”

สีหน้าของอู๋เหมยค่อยๆ แสดงความตื่นตระหนกขึ้นมา “หยางเจี๋ยแย่งทารกมาเกิดอย่างนั้นหรือ?”

อู๋เป่ย “กลิ่นแปลกๆ ที่เธอเคยได้กลิ่นมานั้น มันเป็นตัวยาพิเศษชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า หญ้าประทับวิญญาณ เนื่องจากแย่งทารกมาเกิด พลังจิตของเขาจึงแข็งแกร่งกว่าคนอื่นมาก ดังนั้นจึงต้องทำการระงับเอาไว้ ไม่เช่นนั้นจะถูกคนอื่นรู้เท่าทันได้ง่ายๆ”

อู๋เหมยมีสีหน้าหวาดกลัว “ถ้าเช่นนั้น หยางเจี๋ยคือผู้ที่มีชีวิตมานานมากกว่าร้อยปีอย่างนั้นหรือ?”

“นั้นก็ไม่แน่นะ” อู๋เป่ยตอบ “เขาอาจจะมีอายุมากถึงสามร้อยถึงห้าร้อยปีเลยก็ว่าได้”

อู๋เหมยตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด “ตาแก่หยางเจี๋ยนั้น เขามาถามหาพี่ทำไมกัน?”

อู๋เป่ย “พรุ่งนี้เธอนัดเขามาสิ ให้ฉันได้พบหน้าเขาสักหน่อย”

อู๋เหมยรีบตอบไปว่า “พี่ เขาคงไม่ได้จะมาฆ่าคนปิดปากหรอกใช่ไหม?”

อู๋เป่ยหัวเราะ “เขาไม่มีพลังยุทธ์เลย จะฆ่าฉันได้ยังไงเล่า?”

อู๋เหมยถามด้วยความแปลกใจว่า “ตาแก่หยางไม่มีพลังยุทธ์หรือ? เป็นไปได้ยังไงกัน พี่บอกเองไม่ใช่หรือว่าเขาฝึกเองได้อีก?”

อู๋เป่ย “ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร บางทีเขาอาจจะน้ำท่วมปากอยู่ก็ได้ ยังไงซะเธอหาโอกาสนัดเขามาหน่อยก็แล้วกัน”

อู๋เหมยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาหล่ะ พรุ่งนี้หลังเลิกเรียน ฉันจะนัดเขาออกมาเอง”

ตอนนั้น จางลี่ก็เรียกทั้งคู่ไปกินข้าว พวกเขาเลยรีบไปที่ห้องอาหารกัน คุณตากับคุณยายมาถึงก่อนแล้ว ทุกคนในครอบครัวร่วมกันรับประทานอาหารเย็นอย่างมีความสุข

หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว อู๋เป่ยก็กลับเข้าห้องไปศึกษาวิชาศิลปะการต่อสู้ต่อ เขาเลือกแบบฝึกฝนออกมาหนึ่งบท เขาไม่ต้องการเรียนรู้อย่างแจ่มแจ้ง แต่เขามุ่งเน้นการเพิ่มพูนความรู้มากกว่า

แรงปรารถนาแห่งหมัดทั้งเจ็ดด่าน ด่านต่อไปคือความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งความเข้าใจอย่างถ่องแท้นั่นคือการรวบรวมความเข้าใจนั่นเอง เขานำความรู้ทั้งหมดที่เขาเรียนรู้มาและทำการดูดซึมเข้าไป จากพื้นฐานนี้เอง หากเขามีความรู้ความเข้าใจที่มากพอ เขาก็จะสามารถสำเร็จ “ด่านความเข้าใจขั้นแรก” ไปได้

ความเข้าใจขั้นแรก คือความเข้าใจในเจตนาของหมัด การเคลื่อนไหวในทุกท่วงท่าล้วนแล้วแต่ต้องพิจารณาในท่วงท่าของตนเอง ซึ่งแต่ละคนล้วนมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน เหมือนกับนักเขียนพู่กันจีน หลังจากที่เลียนแบบการเขียนพู่กันจีนของนักเขียนพู่กันที่มีชื่อเสียงแล้ว ลายเส้นพู่กันจะค่อยๆ กลายเป็นเอกลักษณ์ในการเขียนพู่กันของตน

พอรู้ตัวอีกที ก็ตีหนึ่งซะแล้ว เขาเหลือบตาดูโทรศัพท์มือถือ และพบว่าไป๋ปิงตอบรับคำขอเป็นเพื่อนในวีแชทกับเขาแล้ว แถมยังทิ้งข้อความไว้อีกว่า “คุณคืออู๋เป่ยใช่ไหม?”

ตอนนั้นดึกมากแล้ว เขาจึงไม่ได้ตอบกลับข้อความ และพักผ่อนสักครู่ จากนั้นก็เริ่มฝึกร่างกายขั้นสูงต่อไป

การฝึกร่างกายขั้นสูงนี้ มีชื่อว่า วิชาพลังขั้นก่อเกิด ยากกว่าที่หยางมู่ไป๋สอนในตอนแรกมาก มีทั้งหมดเจ็ดสิบสองกระบวนท่า และมีเก้ากระบวนท่าในหนึ่งกลุ่ม ทุกกระบวนท่าในหนึ่งกลุ่มนั้น ล้วนแต่มีผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน ตอนนี้เขากำลังเริ่มเข้าสู่กระบวนท่าแรก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอตาวิเศษ