ยอดคุณหมอตาวิเศษ นิยาย บท 236

สถานการณ์ภายในบ้านกลับมาเป็นดังเดิม อู๋เป่ยมองซ้ายมองขวา พอใจเป็นอย่างมาก เขาหยิบเหล้าที่เอามาจากโรงแรมวางไว้บนโต๊ะ แล้วพูด:“พี่สาม ดื่มสักหน่อยไหม?”

ลมปราณของสวี่จี้เฟยแข็งแรงมาก การบำเพ็ญตนเป็นชั้นเทพก็มั่นคงขึ้นแล้ว เขายิ้ม:“ไม่ดื่มล่ะ ว่าแต่นายเถอะ คิดไตร่ตรองดีแล้วหรือยัง?”

ที่เขาพูด หมายถึงเรื่องที่ให้อู๋เป่ยเข้าควบคุมอาณาบริเวณโจวฝัวเซิง โดยนั่งตำแหน่งนายอำเภอเมือง

อู๋เป่ยนั่งลงที่พื้น แล้วแกะถุงขนมกิน:“พี่สาม เมืองเคไม่ได้เป็นแค่อำเภอเมืองธรรมดาๆ ด้านล่างของเมืองนั้นมีผู้มีฝีมือซ่อนตัวอยู่ ก่อนที่จะตัดสินใจ อย่างน้อยผมก็อยากทำความเข้าใจสถานการณ์ของเมืองเคให้เรียบร้อยก่อนสิ?”

สวีจี้เฟยหัวเราะแล้วถาม:“งั้นนายทำความเข้าใจแล้วหรือยัง?”

ถ้าจะพูดถึงอำนาจในการควบคุมแต่ละที่ในเมืองเจียงหู กรมศิลปะการต่อสู้ขั้นเทพนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในแหล่งข่าวกรองที่เชื่อถือได้ที่สุดแล้ว ในตอนที่อู๋เป่ยอยู่ที่โรงแรมนั้นได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีฝีมือในเมืองเคอย่างละเอียดมา

เขาถอนหายใจแล้วพูด:“ผู้มีฝีมือในเมืองเคนั้นมีไม่น้อยเลย มองผิวเผินมีแค่โจวฝัวเซิง แต่ความจริงนั้นอำนาจของโจวฝัวเซิงขอบเขตแค่อำเภอเมืองเท่านั้น รวมไปถึงบริเวณเมืองโดยรอบไม่กี่เมือง โดยเฉพาะกลุ่มตระกูลเก่าแก่บู๊ลิ้มพวกนั้น ไม่มีใครจัดการง่ายสักคน”

สวีจี้เฟย:“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถ้านายอยากนั่งตำแหน่งอำเภอเมือง ก่อนอื่นก็ต้องได้รับการยอมรับจากคนพวกนี้ ถ้าพวกเขาไม่ยอมล่ะก็ ตำแหน่งของนายก็จะไม่มั่นคง แล้วก็จะมีคนมาหาเรื่องนายภายในระยะเวลาไม่นาน”

อู๋เป่ย:“ถ้าจะยากก็ยากที่คนกลุ่มนี้ไม่ยอมนี่แหละ เรื่องนี้ ต่อให้เป็นโจวฝัวเซิงก็คงทำได้แค่ฝืนใจทำไป”

สวีจี้เฟย:“โจวฝัวเซิงไม่นับว่าเป็นเจ้าผู้ครองเมืองเจียงหูแห่งเมืองเคหรอกนะ ที่ตำแหน่งเขามั่นคงก็เพราะว่ามีหลิ่วจ้งซวน ผู้มีฝีมือชั้นเทพอยู่เบื้องหลัง ที่เมืองเจียงหูยังมีผู้มีฝีมือชั้นเทพอีกสองคน จวีหวู่เซียนกับเกาฉางเฟิง ส่วนเมืองเคตอนนี้ก็มีสองคนเช่นกัน คนหนึ่งคือหลิ่วจ้งซวน อีกคนก็คือพี่”

อู๋เป่ยกะพริบตา:“ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้มีฝีมือชั้นเทพ แต่ก็เป็นได้แค่ตัวแทนวงการบู๊ลิ้มหรือเปล่าครับ?”

สวีจี้เฟย:“หลิ่วจ้งซวนไม่ใช่แค่ผู้มีฝีมือชั้นเทพ อีกอย่างความสัมพันธ์ของเขากับผู้นำเมืองคนปัจจุบันนั้นสนิทสนมมาก”

อู๋เป่ยหัวเราะแล้วพูด:“มีความสามารถ แถมยังมีเส้นสาย มิน่าล่ะเขาถึงมีอิทธิพลต่อบู๊ลิ้มของเมืองเค”

สวีจี้เฟย:“น้องชาย ใช้เวลาไม่นานหรอก ความสามารถของนายก็จะแซงหลิ่วจ้งซวนแน่นอน บวกกับเส้นสายของนาย รอดูสิ ในเมืองเคจะมีใครกล้าไม่ยอม?”

อู๋เป่ย:“พี่สาม พี่พูดมาตรงๆเลยเถอะ”

สวีจี้เฟยหัวเราะแล้วพูด:“ขั้นแรก นายต้องควบคุมบู๊ลิ้มของเมืองอวิ๋นติ่งให้ได้ก่อน เท่าที่พี่รู้มา เมืองอวิ๋นติ่งมีพลังอำนาจลึกลับ ที่แม้แต่หลิ่วจ้งซวนก็ไม่กล้ายื่นมือเข้าไป น้องชายถ้าหากนายควบคุมเมืองอวิ๋นติ่งได้ล่ะก็ กลุ่มพวกบู๊ลิ้มต่างก็ยอมรับนายกันทั้งนั้น”

อู๋เป่ย:“เมืองอวิ๋นติ่งเป็นบ้านเกิดของผม นี่เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ได้”

“ถ้าเข้าควบคุมเมืองอวิ๋นติ่งได้ ก็จะสามารถเป็นนายอำเภอเมืองได้ ถึงตอนนั้นได้ถืออำนาจสองเมือง แถมยังได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากตระกูลสวีอีก วงการบู๊ลิ้มมีแต่จะยอมรับนาย”

พูดถึงตรงนี้ สวีจี้เฟยก็เผยรอยยิ้มเยือกเย็น:“ขั้นที่สาม คือดันให้หลิ่วจ้งซวนออกไป เขาน่ะถ้าไม่สวามิภักดิ์นาย ก็ต้องไสหัวไป”

อู๋เป่ย:“พี่สาม ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอครับ?”

สวีจี้เฟยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย:“มีแค่คนที่มีความสามารถพอๆกัน ถึงจะไม่มีสงคราม แต่ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่สามารถทำลายอีกฝ่ายได้ล่ะก็ คงจะมีแค่สงครามและการยึดอำนาจ”

อู๋เป่ยถอนหายใจ:“ถึงที่นั่นแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน”

สวีจี้เฟย:“พูดแบบนี้แสดงว่า นายตอบตกลงแล้ว?”

อู๋เป่ยพยักหน้า:“ผมรู้ว่าตำแหน่งนี้ขึ้นไปนั่งไม่ง่าย แต่ในเมื่อตระกูลสวีสนับสนุนผม ผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ”

สวีจี้เฟยหัวเราะขึ้นมา:“ดี! ช่วงนี้นายก็รีบกลับอวิ๋นติงไปก่อน แล้วทำตามแผนที่วางไว้”

อู๋เป่ย:“พี่สาม มีเรื่องที่จะพูดกับพี่ ผมพึ่งจะรักษาพิษของต้วนหลงหาย”

สวีจี้เฟยถาม:“ต้วนหลงไหน?”

อู๋เป่ยเลยอธิบายสั้นๆเกี่ยวกับทีมพระเจ้าให้ฟัง สีหน้าของสวีจี้เฟยเปลี่ยนไป:“คนคนนี้ใช้วิธีการโหดเหี้ยมซะจริง!”

อู๋เป่ยถอนหายใจ:“พี่สามก็มองออกงั้นเหรอ?”

สวีจี้เฟยยิ้มเยาะ:“ถ้าพี่เดาไม่ผิดล่ะก็ คนของทีมพระเจ้า รวมถึงชาวยุโรปพวกนั้นต่างก็ตายด้วยน้ำมือของต้วนหลง ต่อให้เขาไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง แต่ก็ต้องเป็นแผนของเขาอย่างแน่นอน”

อู๋เป่ยพยักหน้า:“ผมก็คิดคล้ายๆกัน สาเหตุก็เพราะผมเห็นว่าถึงแม้ศพเขาจะถูกพิษ แต่กลับปกป้องหัวใจไว้อยู่ พูดอีกอย่างก็คือแค่เขายินยอม ก็สามารถบีบพิษออกได้ทุกเมื่อ ไม่จำเป็นต้องจ้างผมด้วยเงินร้อยล้านยูโรด้วยซ้ำ”

สีหน้าของสวีจี้เฟยดูไม่ดี:“ถ้าฉันเป็นต้วนหลงล่ะก็ จะต้องฆ่านายอย่างแน่นอน”

“ฆ่าปิดปากผม?” อู๋เป่ยตกใจ ก่อนหน้านี้ในใจเขาเหมือนจะแอบมีความกังวลอยู่ เวลานี้ถูกสวีจี้เฟยชี้กระจ่าง ทันใดนั้นก็มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนศีรษะ

สวีจี้เฟย:“ไม่ใช่เหรอ? บนโลกนี้นอกจากนายแล้ว จะมีใครสงสัยเขาอีก?”

อู๋เป่ย:“แต่ว่าเขารู้ฐานะของผม ไม่กลัวว่าคนฝั่งท่านตงฟ๋อจะไปแก้แค้นเหรอ?”

สวีจี้เฟย:“เพราะงั้นเขาเลยต้องลงมือโดยที่ไม่มีใครรู้ แถมคนที่ลงมือจะต้องไม่ใช่ตัวเขาเอง”

อู๋เป่ยกัดฟันพูด:“ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นราชันย์ จะฆ่าผมคงไม่ง่ายขนาดนั้น!”

สวีจี้เฟยส่ายหน้า :“ช่างเถอะ ต่อให้เกิดเรื่อง เกรงว่าจะไม่มีประโยชน์ นายเตรียมพร้อมไว้ให้ดีเถอะ”

ในใจอู๋เป่ยเบื่อหน่าย ทำไมถึงโชคร้ายได้ขนาดนี้ เดิมทีอยากจะหาเงินให้ได้เร็วกว่านี้ ผลลัพธ์กลับถูกผู้มีฝีมือระดับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเทพวางแผนคิดร้ายซะได้!

สวีจี้เฟยตบไปที่บ่าของเขา:“แบบนี้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป สามารถทำให้นายขยันบำเพ็ญตนได้ แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว”

อู๋เป่ยถอนหายใจ:“โลกใบนี้ ช่างมืดมนหนาวเหน็บซะจริงๆ”

“เดิมทีโลกก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่คนธรรมดาทั่วไปถูกสื่อโฆษณาในสังคมปรนเปรอก็เท่านั้น” เขาลุกขึ้นยืน “น้องชาย พี่เลื่อนขั้นเป็นชั้นเทพ ภายหลังสามารถบำเพ็ญตนด้านการรบได้ ด้วยเหตุนี้ต้องปิดตนบำเพ็ญ รอพี่ออกจากการบำเพ็ญ แล้วจะไปหานาย”

หลังจากส่งสวีจี้เฟยไปแล้ว อู๋เป่ยก็ฝึกฝนหมัดปรารถนา สู้กับหลินเทียนหวัง เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นเข้าใกล้จุดรวมปรารถนาแล้ว ขาดเพียงอีกนิด เพียงแต่ ถ้าอยากจะก้าวข้ามขีดจำกัดนั้น กลับยากอย่างมาก

หลังจากที่ฝึกออกกำลังกายสักพัก เขาก็สามารถฝึกกระบวนท่าที่สามได้อย่างชำนาญ จนฟ้าสว่าง

ไม่นาน จูชิงเหยียนก็นัดเจอเขา ปรึกษาหารือเรื่องการกุศล ไม่กี่วันมานี้ เธอกำลังช่วยอู๋เป่ยศึกษาวิจัย วางแผน แถมยังตั้งกลุ่มเล็กๆขึ้นมาเพื่อทำงานโดยเฉพาะ

ช่วงเที่ยง จูชิงเหยียนมาที่คฤหาสน์ถนนลี่สุ่ยที่อู๋เป่ยพักอยู่ แถมยังพาสมาชิกกลุ่มเล็กๆห้าคนมาทำงานด้วย

ในตอนที่จูชิงเหยียนเอากองเอกสารวางตรงหน้าเขานั้น งานเขายุ่งมาก เขารีบถามขึ้นมา:“ชิงเหยียน เรื่องนี้เธอช่วยฉันเถอะ ฉันไม่รู้เรื่อง”

ชิงเหยียนมองบนให้เขา แล้วพูด:“งั้นนายจะให้เงินเดือนเท่าไหร่ล่ะ?”

อู๋เป่ยพูดสีหน้าจริงจัง:“ห้าพัน!”

จูชิงเหยียนปล่อยหมัดใส่เขา:“ไปไกลๆเลยไป!”

ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ แต่การทำงานนั้นจูชิงเหยียนจริงจังมาก เธอพูดแผนการให้อู๋เป่ยฟังอย่างคร่าวๆ สาระสำคัญก็คือ ต้องตั้งทีมสำหรับการกุศลโดยเฉพาะขึ้นมาก่อน เพราะทำการกุศลนั้นไม่ง่าย จึงต้องจัดตั้งดำเนินกิจการ

อีกทั้ง จูชิงเหยียนยังมอบหมายงานให้พวกเขาอีกด้วย เพื่อจะเปิดเผยกิจการที่เกี่ยวข้องในงานการกุศล เช่น เมืองมรกตที่อู๋เป่ยลงทุนไป โรงงานอุตสาหกรรมเคมี โรงงานยาเป็นต้น

องค์กรหนึ่งที่ยอมจ่ายหลายพันล้าน จนถึงหลักหมื่นล้านเพื่อการกุศล จิตใต้สำนึกของประชาชนก็คงเลือกที่จะเชื่อใจพวกเขา จนรวมไปถึงซื้อสินค้าของพวกเขา

หลังจากที่ก่อตั้งทีมแล้ว ก็จะต้องจัดเตรียมในช่วงระยะเวลาแรก รวบรวมสถิติ ข้อมูลตามหลักความเป็นจริง และการร่วมมือกันของแต่ละหน่วยงานสังคมเป็นต้น เรื่องพวกนี้จำเป็นต้องมีคนจัดการเฉพาะ

สุดท้ายถึงจะเชื่อมเข้ากับกลุ่มคนที่ต้องการการช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ เสนอความช่วยเหลือที่สามารถช่วยได้ให้กับพวกเขา จูชิงเหยียนคาดการณ์ว่า ในการที่จะทำทั้งหมดนี้ ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี

ส่วนอู๋เป่ยต้องใช้เงินสามร้อยล้าน เพื่อเป็นเงินทุนในการดำเนินกิจการของทีม องค์กรในนามของจูชิงเหยียนและอู๋เป่ย ตอนนี้มีอำนาจในการเผยแพร่เพียงแห่งเดียว

สองวันถัดมา อู๋เป่ยก็ยังทำงานอยู่กับจูชิงเหยียน มีปากเสียงกันทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งวันที่สาม เขารับสายโทรศัพท์ของถังปิงอวิ๋น การสู้รบจริงจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งสัปดาห์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอตาวิเศษ