บทที่ 13 ความจริงที่ซ่อนอยู่ในความผิด
ชายวัยกลางคนพยายามหันซ้ายหันขวามองดูต้นทางอีกครั้ง ท่ามกลางความมืดเขาพยายามอาศัยความคุ้นเคยคลำทางในห้องไปยังจุดที่เขาวางแผนไว้ ถังน้ำมันในมือถูกยกขึ้นหมุนฝา ทันทีที่เขาเงยหน้ากลับต้องประหลาดใจเพราะห้องที่ควรจะเต็มไปด้วยโมเดลชิ้นงาน กลับว่างเปล่าเขาพยายามเพ่งเล็งมองไปตามโต๊ะภายในห้องอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าเหลือเพียงโมเดลเดียวที่ตั้งไว้ เขายืนนิ่งอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม ขบคิดวิธีที่พอจะทำต่อได้ให้เร็วที่สุด
จริงสิ ตรงตู้พวกนั้นเก็บเอกสารไว้เยอะเลยนี่ เขารีบเดินไปเปิดตามตู้ที่เขาพอจำได้ว่าเป็นที่เก็บเอกสารเก่า เมื่อประตูตู้เปิดกองเอกสารที่วางเรียงรายจนแน่นก็ปรากฏชายคนนั้นยิ้มมุมปากกับตัวเอง อย่างน้อยห้องนี้ยังเหลือหลายสิ่งที่เป็นทางออกให้เขาได้ เขาค่อย ๆ รื้อเอกสารเก่าพวกนั้นลงมาพลางเอาน้ำมันเทราดลงไป สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เขาคอยลอบมองที่ประตูตลอดแม้จะรู้ดีว่าดึกขนาดนี้คงไม่มีใครจะเข้ามาในห้องนี้ได้อีกแน่
การออกแบบห้องนี้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นจุดอับสายตาในมุมตึก แถมกล้องวงจรปิดยังส่องมาไม่ถึง ไหนจะสปริงเกอร์ที่เขาพอจะรู้มาบ้างว่าระบบค่อนข้างรวน ทุกอย่างล้วนเป็นใจอีกอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อคนคนนั้นกล้าทำกับเขาขนาดนี้ นี่ก็เป็นสิ่งที่มันสมควรได้รับ
เขาเดินไปเปิดประตูตู้ข้าง ๆ รื้อเอกสารลงมา ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ วนจนครบ เทน้ำมันราดลงไป เมื่อเขาหยิบไฟแช็กขึ้นเตรียมจุดไฟ เขากลับรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ลมบางอย่างพัดมาโดนผิวทำให้รู้สึกเย็นวาบ ทันใดนั้นเสียงนุ่มทุ้มที่เขาคุ้นเคยก็ดังขึ้น
“ผมไม่รู้ว่าพี่แดงกำลังจะทำอะไร แต่ผมคิดว่าพี่หยุดมันไว้ดีกว่านะครับ” แดง อดีตหัวหน้างานรักษาความปลอดภัยหันกลับไปมองทางต้นเสียงก่อนจะพบว่าเด็กหนุ่มนักศึกษาที่มักเอ่ยทักทายเขาประจำคนนั้นกำลังยืนอยู่ในห้องนี้ เขาแทบไม่รู้ตัวว่าไอเด็กหนุ่มนี่เข้ามาตอนไหน เหงื่อของเขาผุดออกมาเต็มหน้า หัวสมองขาวโพลนไปชั่วขณะนึกหาวิธีเอาตัวรอด
“......”
“ถ้าพี่เลือกหยุด อย่างน้อยมันก็ยังพอมีทางอื่นให้พี่ไปต่อได้” คีร์พูดขึ้น เขารู้ดีว่าต่อให้วันนี้พี่แดงตัดสินใจเผา ชาติที่แล้วท้ายที่สุดความผิดก็สาวตัวไปไม่ถึงแต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะเสี่ยง เขามองชายวัยกลางคนตรงหน้า สภาพของเขาดูโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ผมเผ้าที่ยาวรุงรังกับชุดสีดำทั้งเสื้อกางเกงเพื่ออำพรางตัวทุกอย่างคล้ายกลบความใจดีของพี่ยามคนนี้ ที่เขามักเอ่ยทักทายประจำเวลามาเรียน ด้วยเพราะตอนนั้นบางช่วงเขามักมีเหตุให้ต้องกลับห้องดึกบ่อย ๆ เนื่องจากต้องทำงานที่คณะเลยกลายเป็นโอกาสให้ได้ชวนพี่แดงยามเฝ้าตึกคุยหลายครั้ง จนเรียกได้ว่าเป็นคนคุ้นเคย
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง อย่ามายุ่งเลย” เขาพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“สิ่งที่พี่ทำพี่ก็รู้ว่ามันไม่ถูก” เขาพยายามพูดขึ้นอีกครั้ง อย่างน้อยถ้าวันนี้เหตุการณ์ไม่ลงเอยเหมือนครั้งที่แล้วทุกอย่างอาจดีขึ้น
“แล้วอะไรที่เรียกว่าถูก การที่กูถูกไอพวกนั้นทำอย่างนี้น่ะเหรอ” เสียงของพี่แดงเริ่มเจือความโมโห คีร์พอเข้าใจ เขาถูกกระทำมาขนาดนี้ คงไม่แปลกที่จะหาทางเอาคืน
“แล้วคนที่เดือดร้อนต่อจากนี้ล่ะ เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยนะพี่” คีร์พยายามใจเย็น เกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายอีกครั้ง
“พวกมึงก็เกี่ยวข้องกันทั้งนั้น กูโดนทำอะไรมาใช่ว่าพวกมึงจะไม่รู้แต่พวกมึงก็นิ่งเงียบ” เขาพูดขึ้น คีร์นิ่งทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่พี่แดงบอก จริงอยู่ที่คนหลายคนเลือกจะไม่สนใจปัญหานี้ ทั้ง ๆ ที่มันมีจุดพิรุธมากมายขนาดนั้นประเด็นนี้กลับถูกเพิกเฉยไม่มีการพูดถึงหรือเรียกร้องความยุติธรรมใดใด
“พี่ใจเย็น ๆ อย่างน้อยตอนนี้ผมพอเข้าใจแล้วผมว่าผมช่วยพี่ได้”
“เงียบปากไป เด็กอย่างมึงจะมาช่วยอะไรได้!!!” พี่เเดงพูดขึ้นอีกครั้ง
“ลูกเมียพี่ล่ะ พี่ไม่สนใจเขาแล้วเหรอ” คีร์ยกไพ่ตายขึ้นมา เขาพอรู้มาบ้างว่าชายคนนี้เป็นเสาหลักครอบครัวต้องดูแลลูกเมีย สองปากสองท้องยังคงรอพึ่งพาเขา
แดงนิ่งเงียบไปสักพัก....
"มึงจะเข้าใจอะไร" เสียงของเขาพูดเบา ๆ เขาตัดสินใจแล้วถูกจับได้ขนาดนี้จะเหลือทางรอดอะไรได้อีก
เขาถอยไม่ได้ปัญหาหลักอยู่ตรงนี้ ถ้าวันนี้งานไม่สำเร็จครอบครัวของเขาอาจเดือดร้อนไปด้วย เขาตัดสินใจได้ว่าในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นบีบให้เขาเดินมาทางบัดซบนี่ ถ้างั้นเขาก็ควรจบปัญหานี้ด้วยตัวเอง แดงหยิบถังน้ำมันขึ้นมาเทราดไปที่หัวของตัวเองจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม คีร์ที่เห็นการกระทำดังกล่าวยิ่งเบิกตากว้างขึ้น เขารีบสาวเท้าเข้าไปยังร่างแดงทันทีทว่าอีกฝ่ายกลับจุดไฟแช็กก่อนจะจ่อเข้าที่เสื้อของตน ประกายไฟลุกพรึ่บเผาไหม้เสื้อผ้า
“ไอคีร์!!!! ถอยย!!!!!” เสียงต้นสนตะโกน ก่อนร่างสูงโปร่งจะวิ่งเข้ามาพร้อมถังดับเพลิง จ่อไปที่ตัวของแดงพลางกดฉีดได้ทันเวลา ควันสีขาวรายล้อมรอบห้อง คีร์กับค้นสนเริ่มพากันไอเพราะผงเคมีที่ถูกพ่นออกมา เขามองพี่แดงที่นั่งนิ่งราวกับร่างไร้วิญญาณ ในจังหวะนั้นเสียงฝีเท้าวิ่งจากคนหลายคนก็ดังขึ้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจสามนายหยุดอยู่หน้าห้อง ตะโกนบอกให้พวกเขายืนนิ่ง คีร์มองภาพตรงหน้าด้วยความสับสน ตามแผนของเขา การแจ้งตำรวจแทบจะอยู่ในช่วงสุดท้ายในกรณีที่เขาคุมเหตุการณ์ไม่ได้ ทำไมเจ้าหน้าที่พวกนี้ถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ คีร์ส่งสายตาหาต้นสนราวกับจะถามว่าเป็นต้นสนที่แจ้งเหรอ ต้นสนส่ายหน้าเพื่อบอกว่าตนไม่รู้เรื่อง
“คุณตำรวจครับเด็กสองคนนั้นเป็นลูกศิษย์ผมเองครับ เป็นนักศึกษาในคณะพวกเขาไม่น่าจะเกี่ยว” เสียงอาจารย์พิสุทธิ์ดังขึ้น ร่างของอาจารย์ก้าวเข้ามาชายวัยกลางคนอายุราว 40 ที่ดูดีใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย เขาค่อย ๆ ก้าวเข้ามาในห้องก่อนจะเร่งเดินเข้ามาเพื่อดูสภาพเด็กทั้งสอง ในใจของคีร์เต้นกระหน่ำทันทีเมื่อร่างของอาจารย์ปรากฏ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย้อนเวลาใหม่ครั้งนี้ขอยอมง้อเธอด้วยรัก