ย้อนยุคไปเป็นสปายขันทีผู้เก่งกาจ!(จบ) นิยาย บท 6

ซูลั่วเดินเข้ามา คำนับแล้วกล่าว “ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องอยากพูดสักเล็กน้อย…”

ตี้จิ้งกล่าว “ตอนนี้เจ้าเป็นคนของข้า มีอะไรก็พูดมาได้เลย”

ซูลั่วไม่ได้ตอบกลับทันที แต่กลับชำเลืองไปที่ชิงอวี้

ชิงอวี้เห็นดังนั้นก็โมโห “มองข้าทำไม”

ตี้จิ้งไม่รู้จะทำอย่างไร “ชิงอวี้เป็นคนสนิทของข้า เจ้ามีอะไรก็พูดได้เลย”

ซูลั่วกลั้นใจเล่าความลับที่ดูสำคัญๆ หลังจากได้เห็นผ่านตาเมื่อครู่นี้ให้ตี้จิ้งฟังทั้งหมด

โดยเฉพาะความลับของอัครเสนาบดีเย่จิ้นกับเสนาบดีกรมพระคลังชุยเก๋อที่ทำให้ทั้งตี้จิ้งและชิงอวี้ตะลึงงัน

เขารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร

ตี้จิ้งมีหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อคอยจับตาดูและรายงานข่าวของพวกขุนนางโดยเฉพาะ เรียกว่า พรายกระซิบหลวง

แต่ถึงกระนั้น เหล่าขุนนางก็มีวิธีป้องกันไม่ให้ความลับรั่วไหล ทำให้ข้อมูลที่หามาได้มีไม่มาก

สิ่งที่ซูลั่วพูดมานั้น นางไม่เคยรู้เลย!

ชิงอวี้ถามตรงๆ “เจ้าเป็นคนของอิ่งเก๋อรึ”

ซูลั่วงง “อิ่งเก๋อคืออะไร”

ชิงอวี้ตอบ “ถ้าเจ้าไม่ใช่คนของอิ่งเก๋อ ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องมากขนาดนั้น!”

ซูลั่วก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร…จะให้บอกว่าใช้สูตรโกงก็คงไม่ได้

ซูลั่วตอบเบาๆ “เอ่อ…บังเอิญได้ยินเข้าน่ะ”

ชิงอวี้ไม่เชื่อ กำลังจะซักไซร้ต่อ แต่ถูกตี้จิ้งห้ามไว้ก่อน

ตี้จิ้งมองซูลั่วอย่างพินิจพิเคราะห์ “ทำได้ดีมาก รอออกราชการเสร็จแล้วข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม!” แล้วหันไปพูดกับชิงอวี้​​ “ชิงอวี้ ไปเรียกอัครเสนาบดีเย่มาเข้าเฝ้า”

“เพคะ ฝ่าบาท”

ซูลั่วได้ยินก็รีบพูด “ถ้าอย่างนั้นข้าขอลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

ตี้จิ้งยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้ารออยู่ที่แหละ”

ซูลั่วใจเต้นตึกตัก งั้นก็แย่แล้วสิ…ซูลั่วกะจะไปคุยกับเย่จิ้นเรื่องที่อ๋องตี้ซวิ่นดึงเขาไปเป็นพวก

แต่นี่เป็นความลับ ฮ่องเต้จะรู้ได้อย่างไร

ยิ่งเห็นเขายืนอยู่ตรงนี้ด้วย เย่จิ้นก็ต้องรู้แน่ว่าซูลั่วเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ฟัง!

และเป็นการประกาศด้วยว่าซูลั่วเป็นคนฮ่องเต้

ไม่รู้ว่าเรื่องนี้นับว่าดีหรือแย่

แต่ซูลั่วไม่อยากยุ่ง เขาไม่อยากทำตัวเป็นจุดสนใจ

ขุนนางเจ้าเล่ห์พวกนี้รับมือด้วยยาก หากวันไหนเกิดเหม็นขี้หน้าเขาขึ้นมา อาจจะตามมาฆ่าเขาถึงที่ก็ได้

แต่ต่อหน้าฮ่องเต้ ซูลั่วเป็นแค่ขันทีตัวเล็กๆ จะปฏิเสธฮ่องเต้เขาก็…ไม่กล้า

ทำได้เพียงพูดด้วยอย่างจำใจ “พ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบก็เข้าไปยืนที่ด้านข้าง ก้มหน้างุด

ครู่เดียว เย่จิ้นก็เข้ามา

“ถวายบังคมฝ่าบาท!”

ตี้จิ้งไม่ได้พูดจุดประสงค์โดยตรง กลับใช้อีกวิธีหนึ่งแทน

“ท่านเย่คิดอย่างไรกับเหตุภัยพิบัติที่แถบเจียงหนาน ควรจะรีบเข้าช่วยเหลือพวกชาวบ้านเลยหรือไม่”

ซูลั่วเข้าใจเจตนาที่แฝงอยู่ในคำถามนั้น นางกำลังหยั่งเชิงเย่จิ้นว่าศึกครั้งนี้ควรสู้หรือไม่!

ทว่าเย่จิ้นกลับไม่สะทกสะท้านใดๆ เขาตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน “ประชาชนสำคัญที่สุด แน่นอนว่าเราต้องช่วยเหลือพวกเขา แต่เราก็ต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ด้วย จะบุ่มบ่ามแจกจ่ายเสบียงไม่ได้ ฝ่าบาทตัดสินใจดูเถิด”

ซูลั่วดูออกทันทีว่าขุนนางผู้นี้เหลี่ยมจัด ดูเหมือนจะตอบ แต่จริงๆ กลับไม่ได้ตอบอะไร

ตี้จิ้งหัวเราะแล้วเอ่ยเรียบๆ “ข้าชื่นชมท่านอัครมหาเสนาบดีนัก อยู่กลางโคลนตมแต่ไม่แปดเปื้อน บริสุทธิ์แต่ไม่ทะนงตัว ได้ยินว่าท่านปฏิเสธขุนนางทุกคนที่เชิญท่านไปดื่มน้ำชาด้วย”

ซูลั่วคิดตามคำพูดของตี้จิ้ง นางกำลังสื่อว่าเย่จิ้นเป็นกลางเสมอ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

เย่จิ้นยังคงรักษาท่าที “ฝ่าบาทพูดเกินไปแล้ว ข้าเพียงแต่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น”

ทันใดนั้นตี้จิ้งก็เปลี่ยนเรื่อง พูดด้วยน้ำเสียงเย็น “แต่พอท่านพี่ของข้าอยากพบปะพูดคุยกับท่าน ท่านกลับไปโดยไม่ปฏิเสธ”

เย่จิ้นตากระตุก รู้สึกเหมือนถูกคลื่นลูกใหญ่โถมเข้าใส่

ฮ่องเต้รู้ได้อย่างไร ตอนที่ไปพบตี้ซวิ่น เขาตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น… ตี้ซวิ่นเองก็มีจอมยุทธ์ขั้นแปดคอยรักษาการณ์อยู่ข้างตัว ไม่มีทางถูกจับได้แน่

หรือว่าฮ่องเต้มีจอมยุทธ์ขั้นเก้าคอยรับใช้ แต่ใต้หล้านี้ไม่เคยมีคนแบบนั้นอยู่สักหน่อย…เป็นไปไม่ได้!

หากเขายังไม่ยอมเลือกข้าง วันหนึ่งเมื่อความจริงถูกเปิดเผย เขาต้องถูกกำจัดให้พ้นทางแน่ๆ

แต่ถ้าเขาเลือกอยู่ข้างฮ่องเต้ พอความจริงกระจ่าง ราชสำนักก็จะกลับมามั่นคงอีกครั้ง

แล้วลูกสาวของเขาอาจจะให้กำเนิดองค์รัชทายาทก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นตระกูลเย่ก็ถือเป็นครึ่งหนึ่งของราชวงศ์แล้ว!

คิดมาถึงตรงนี้ เย่จิ้นก็รีบค้อมตัวลง “ฝ่าบาท เรื่ององค์รัชทายาทค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถิด”

“แต่เรื่องที่พวกเชียงกู่บุกรุกชายแดน ข้าคิดว่าเราต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ หากพวกมันทำสำเร็จ ชะตาของประเทศชาติจะสั่นคลอนได้พ่ะย่ะค่ะ!”

ซูลั่วยืนฟังอยู่ข้างๆ ได้แต่มองบน แล้วสบถในใจ

ไอ้แก่เจ้าเล่ห์

เมื่อกี้ยังหัวแข็งไม่อ่อนข้ออยู่เลย พอได้ยินตี้จิ้งบอกว่าจะร่วมห้องกับลูกสาวตัวเองก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเชียว

ซูลั่วนึกถึงเรื่องที่ตี้จิ้งพูดกับตนเมื่อวาน ภาพเรือนร่างขาวนวลอวบอิ่มของเย่กูหลานก็ลอยมาในความคิด

เขารู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วตัว

“ดี สมกับที่ท่านเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี ได้ยินแบบนี้แล้วข้าสบายใจจริงๆ !” ตี้จิ้งพูดพร้อมยิ้มกว้าง

ได้เย่จิ้นมาเป็นพวกก็หมดปัญหาเรื่องส่งกองกำลังไปสู้กับพวกเชียงกู่แล้ว

เย่จิ้นค้อมคำนับ “ฝ่าบาทชมเกินไปแล้ว หากไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว ข้าขอลาก่อน”

ตี้จิ้งพยักหน้าน้อยๆ พร้อมโบกมือเป็นเชิงให้ไปได้

เย่จิ้นค้อมคำนับแล้วถอยออกไป

รอจนเย่จิ้นออกไปแล้ว ตี้จิ้งก็ยืนขึ้นแล้วพูดกับซูลั่ว

“ซูลั่ว วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก”

“เจ้าไปบอกพวกขุนนางให้กลับมาออกว่าราชการที่ตำหนักจินหลวนได้แล้ว”

ขณะนั้นเอง ก็มีอีกเสียงดังขึ้นในหัวของซูลั่ว

“ภารกิจสำเร็จ! ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ที่ได้รับวิชายุทธ์ขั้นเก้า วิชายุทธ์สวรรค์วินาศ ”!

ซูลั่วมีสีหน้าดีใจ ค้อมคำนับพร้อมกล่าว​ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

พูดจบแล้วก็ออกไปยังตำหนักจินหลวน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย้อนยุคไปเป็นสปายขันทีผู้เก่งกาจ!(จบ)