ซูลั่วเดินเข้ามา คำนับแล้วกล่าว “ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องอยากพูดสักเล็กน้อย…”
ตี้จิ้งกล่าว “ตอนนี้เจ้าเป็นคนของข้า มีอะไรก็พูดมาได้เลย”
ซูลั่วไม่ได้ตอบกลับทันที แต่กลับชำเลืองไปที่ชิงอวี้
ชิงอวี้เห็นดังนั้นก็โมโห “มองข้าทำไม”
ตี้จิ้งไม่รู้จะทำอย่างไร “ชิงอวี้เป็นคนสนิทของข้า เจ้ามีอะไรก็พูดได้เลย”
ซูลั่วกลั้นใจเล่าความลับที่ดูสำคัญๆ หลังจากได้เห็นผ่านตาเมื่อครู่นี้ให้ตี้จิ้งฟังทั้งหมด
โดยเฉพาะความลับของอัครเสนาบดีเย่จิ้นกับเสนาบดีกรมพระคลังชุยเก๋อที่ทำให้ทั้งตี้จิ้งและชิงอวี้ตะลึงงัน
เขารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
ตี้จิ้งมีหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อคอยจับตาดูและรายงานข่าวของพวกขุนนางโดยเฉพาะ เรียกว่า พรายกระซิบหลวง
แต่ถึงกระนั้น เหล่าขุนนางก็มีวิธีป้องกันไม่ให้ความลับรั่วไหล ทำให้ข้อมูลที่หามาได้มีไม่มาก
สิ่งที่ซูลั่วพูดมานั้น นางไม่เคยรู้เลย!
ชิงอวี้ถามตรงๆ “เจ้าเป็นคนของอิ่งเก๋อรึ”
ซูลั่วงง “อิ่งเก๋อคืออะไร”
ชิงอวี้ตอบ “ถ้าเจ้าไม่ใช่คนของอิ่งเก๋อ ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องมากขนาดนั้น!”
ซูลั่วก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร…จะให้บอกว่าใช้สูตรโกงก็คงไม่ได้
ซูลั่วตอบเบาๆ “เอ่อ…บังเอิญได้ยินเข้าน่ะ”
ชิงอวี้ไม่เชื่อ กำลังจะซักไซร้ต่อ แต่ถูกตี้จิ้งห้ามไว้ก่อน
ตี้จิ้งมองซูลั่วอย่างพินิจพิเคราะห์ “ทำได้ดีมาก รอออกราชการเสร็จแล้วข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม!” แล้วหันไปพูดกับชิงอวี้ “ชิงอวี้ ไปเรียกอัครเสนาบดีเย่มาเข้าเฝ้า”
“เพคะ ฝ่าบาท”
ซูลั่วได้ยินก็รีบพูด “ถ้าอย่างนั้นข้าขอลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ตี้จิ้งยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้ารออยู่ที่แหละ”
ซูลั่วใจเต้นตึกตัก งั้นก็แย่แล้วสิ…ซูลั่วกะจะไปคุยกับเย่จิ้นเรื่องที่อ๋องตี้ซวิ่นดึงเขาไปเป็นพวก
แต่นี่เป็นความลับ ฮ่องเต้จะรู้ได้อย่างไร
ยิ่งเห็นเขายืนอยู่ตรงนี้ด้วย เย่จิ้นก็ต้องรู้แน่ว่าซูลั่วเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ฟัง!
และเป็นการประกาศด้วยว่าซูลั่วเป็นคนฮ่องเต้
ไม่รู้ว่าเรื่องนี้นับว่าดีหรือแย่
แต่ซูลั่วไม่อยากยุ่ง เขาไม่อยากทำตัวเป็นจุดสนใจ
ขุนนางเจ้าเล่ห์พวกนี้รับมือด้วยยาก หากวันไหนเกิดเหม็นขี้หน้าเขาขึ้นมา อาจจะตามมาฆ่าเขาถึงที่ก็ได้
แต่ต่อหน้าฮ่องเต้ ซูลั่วเป็นแค่ขันทีตัวเล็กๆ จะปฏิเสธฮ่องเต้เขาก็…ไม่กล้า
ทำได้เพียงพูดด้วยอย่างจำใจ “พ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบก็เข้าไปยืนที่ด้านข้าง ก้มหน้างุด
ครู่เดียว เย่จิ้นก็เข้ามา
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
ตี้จิ้งไม่ได้พูดจุดประสงค์โดยตรง กลับใช้อีกวิธีหนึ่งแทน
“ท่านเย่คิดอย่างไรกับเหตุภัยพิบัติที่แถบเจียงหนาน ควรจะรีบเข้าช่วยเหลือพวกชาวบ้านเลยหรือไม่”
ซูลั่วเข้าใจเจตนาที่แฝงอยู่ในคำถามนั้น นางกำลังหยั่งเชิงเย่จิ้นว่าศึกครั้งนี้ควรสู้หรือไม่!
ทว่าเย่จิ้นกลับไม่สะทกสะท้านใดๆ เขาตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน “ประชาชนสำคัญที่สุด แน่นอนว่าเราต้องช่วยเหลือพวกเขา แต่เราก็ต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ด้วย จะบุ่มบ่ามแจกจ่ายเสบียงไม่ได้ ฝ่าบาทตัดสินใจดูเถิด”
ซูลั่วดูออกทันทีว่าขุนนางผู้นี้เหลี่ยมจัด ดูเหมือนจะตอบ แต่จริงๆ กลับไม่ได้ตอบอะไร
ตี้จิ้งหัวเราะแล้วเอ่ยเรียบๆ “ข้าชื่นชมท่านอัครมหาเสนาบดีนัก อยู่กลางโคลนตมแต่ไม่แปดเปื้อน บริสุทธิ์แต่ไม่ทะนงตัว ได้ยินว่าท่านปฏิเสธขุนนางทุกคนที่เชิญท่านไปดื่มน้ำชาด้วย”
ซูลั่วคิดตามคำพูดของตี้จิ้ง นางกำลังสื่อว่าเย่จิ้นเป็นกลางเสมอ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
เย่จิ้นยังคงรักษาท่าที “ฝ่าบาทพูดเกินไปแล้ว ข้าเพียงแต่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้น”
ทันใดนั้นตี้จิ้งก็เปลี่ยนเรื่อง พูดด้วยน้ำเสียงเย็น “แต่พอท่านพี่ของข้าอยากพบปะพูดคุยกับท่าน ท่านกลับไปโดยไม่ปฏิเสธ”
เย่จิ้นตากระตุก รู้สึกเหมือนถูกคลื่นลูกใหญ่โถมเข้าใส่
ฮ่องเต้รู้ได้อย่างไร ตอนที่ไปพบตี้ซวิ่น เขาตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น… ตี้ซวิ่นเองก็มีจอมยุทธ์ขั้นแปดคอยรักษาการณ์อยู่ข้างตัว ไม่มีทางถูกจับได้แน่
หรือว่าฮ่องเต้มีจอมยุทธ์ขั้นเก้าคอยรับใช้ แต่ใต้หล้านี้ไม่เคยมีคนแบบนั้นอยู่สักหน่อย…เป็นไปไม่ได้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย้อนยุคไปเป็นสปายขันทีผู้เก่งกาจ!(จบ)
ทำไมจบที่บท 10 ละครับเนี่ย -.-"...
น่าสนุก น่าสนใจมากๆค่ะ ยังไม่เคยอ่านแนวขันทีเลย รอๆอัพเดทตอนต่อไปอีกนะคะ...