【ชื่อ:ชิงอวี้
อายุ:21
วิชายุทธ์:จอมยุทธ์ระดับเจ็ด
สถานะ:องครักษ์ประจำตัวของตี้จิ้ง นายน้อยแห่งตระกูลจื่อหยาง
ความลับข้อที่หนึ่ง:เคยได้รับบาดเจ็บที่ขา เป็นจุดอ่อน】
ซูลั่วจิ๊ปากสองที…
ความลับข้อนี้ จะว่าได้เปรียบก็พูดได้ไม่เต็มปาก
รู้จุดอ่อนแล้วยังไง เป็นถึงจอมยุทธ์ระดับเจ็ด ต่อให้ขาหักเขาก็สู้นางไม่ได้อยู่ดี
ซูลั่วแอบรู้สึกผิดหวัง
ทำไมคนพวกนี้ถึงได้เก่งขั้นเทพขนาดนี้
ใครใช้สูตรโกงมากันแน่
ชิงอวี้ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกล้วงความลับ นางพาซูลั่วเข้าไปในตำหนักจินหลวน ชี้ไปที่มุมเล็กๆ ข้างบัลลังก์มังกร
“เดี๋ยวเจ้าไปยืนตรงนั้น ห้ามขยับตัว ได้ยินไหม”
ซูลั่วพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”
ตำแหน่งนั้นเป็นที่ของขันที เขาจำได้ว่าเคยเห็นในละครทีวี
พอสั่งเสร็จสรรพ ชิงอวี้ก็จากไป
ไม่นานนัก ประตูใหญ่ก็เปิดออก พวกขุนนางพากันเข้ามา เมื่อเห็นซูลั่ว สีหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไป
ตำแหน่งนั้นไม่เคยมีขันทียืนอยู่มาก่อน
นี่บอกอะไรได้หลายอย่าง…
ซูลั่วก็มองดูพวกขุนนางโดยใช้ดวงตาส่องความลับเก็บข้อมูลของทุกคน
ยิ่งดูก็ยิ่งน่าตกใจ
“แม่เจ้า รองเสนาบดีกรมพิธีการชอบไม้ป่าเดียวกัน…”
“ขุนนางหลิ่วฝ่ายตรวจสอบชอบทรมานนักโทษ”
“แม่ทัพฝ่ายซ้ายเป็นขันที”
“ผู้ตรวจการหลิ่วแห่งเมืองซูโจวต้องกินดินสดๆ เดือนละสองครั้ง…”
“อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดเลย…”
ความลับของแต่ละคนพิสดารเหลือเกิน ของบางคนก็น่าขยะแขยงมาก
ความลับที่ดูจะมีประโยชน์ที่สุดคือของเย่จิ้นอัครมหาเสนาบดีกับชุยเก๋อเสนาบดีกรมพระคลัง
เย่จิ้นคือพ่อของฮองเฮา
ความลับคือไม่นานมานี้อ๋องตี้ซวิ่นดึงเขามาเป็นพวก
ความลับของชุยเก๋อคือพักหลังนี้ฮองเฮาใช้ให้เขาทำอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าอะไร
อีกอย่างที่ทำให้ซูลั่วตกใจก็คือ
เขามองไม่เห็นวิชายุทธ์ของแม่ทัพใหญ่เหลยเซียว
เขาคาดคะเนว่าวิชายุทธ์ของเหลยเซียวน่าจะอยู่ระดับแปดไม่ก็เก้า ไม่อย่างนั้นเขาคงมองเห็นข้อมูลไปแล้ว
“ราชสำนักมีแต่คนเก่งเงียบแฮะ…”
ไม่นานนัก ตี้จิ้งก็ปรากฏตัวขึ้นจากด้านข้าง เดินขึ้นไปนั่งที่บัลลังก์ พอขันทีชราพูดว่า “ฝ่าบาทออกว่าราชการ” จบ ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ก็คุกเข่าคำนับอย่างพร้อมเพรียง
“ฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”
จากนั้นขุนนางก็เริ่มกราบทูลรายงาน
แรกๆ มีแต่รายงานเรื่องไร้สาระ
พอถึงตาของซ่งหมิ่นรองเสนาบดีกรมพระคลัง เขารายงานว่าพื้นที่แถบเจียงหนานน้ำท่วมหนัก พืชผลไร่นาถูกทำลายจนสิ้น ผลผลิตปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้วเกินครึ่ง!
ตอนท้ายเขาลงไปคุกเข่าที่พื้น “ฝ่าบาทโปรดเมตตานำข้าวสารอาหารแห้งออกมาแจกจ่ายและจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
แต่ตี้จิ้งกลับเงียบไม่พูดอะไร
ซูลั่วคิดในใจว่าก็แจกจ่ายไปสิ ชีวิตคนตั้งกี่ชีวิต ตี้จิ้งคงไม่ใช่ทรราชหรอกน่า
ตี้จิ้งอ่านสาส์นกราบทูล ครู่ใหญ่ถึงพูดขึ้น “ขุนนางคนอื่นๆ มีความเห็นว่าอย่างไร”
เฉาเจียงเสนาบดีกรมมหาดไทยกล่าว “ราชวงศ์ตาเซี่ยให้ความสำคัญกับประชาชนมาตลอด หากเกิดความอดอยากกันดารอาหารจะแย่เอา ฝ่าบาท อย่าเสียดายเงินก้อนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลังเฉาเจียงพูดจบ ชุยเก๋อเสนาบดีกรมพระคลังก็พูดขึ้นบ้าง “เสนาบดีเฉาพูดได้ถูกต้อง เพียงแต่ตอนนี้ท้องพระคลังเองก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง อีกทั้งต้องเตรียมการศึก เกรงว่าจะต้องเบิกงบเกินจำนวนพ่ะย่ะค่ะ”
พอชุยเก๋อพูดจบ ขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งก็พากันพูดทัดทาน แสดงจุดยืนว่าไม่ควรสู้ศึกนี้ ขอให้ฝ่าบาทพินิจไตร่ตรองอีกครั้ง
มีเพียงหวังหลินเสนาบดีกรมกลาโหมเท่านั้นที่ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าต้องทำศึก
“ปัญหาที่ชายแดนเรื้อรังมานาน พวกเชียงกู่ชักเหิมเกริมขึ้นทุกวัน เราต้องกำจัดเสี้ยนหนามนี้ให้สิ้น ไม่อย่างนั้นประเทศชาติต้องตกอยู่ในอันตรายแน่!”
แต่หวังหลินเป็นเพียงนักรบ แค่ปากปากเดียวพูดเอาชนะพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่ได้อยู่แล้ว
สถานการณ์ตกอยู่ในสภาพเสียงข้างมากล้นหลามภายในชั่วพริบตา
ซูลั่วนั่งฟังด้วยความทึ่ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจสถานการณ์
น้ำท่วมที่เจียงหนานเป็นแค่ตัวเกริ่นเรื่องเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
ศึกสงครามต่างหากที่สำคัญ
ชุยเก๋อเสนาบดีกรมพระคลังร้ายกาจสุดๆ เขาตั้งใจพูดแบบนั้นให้ตกเป็นเป้า ทำให้พวกขุนนางต่อต้าน
เห็นได้ชัดว่าตี้จิ้งต้องการทำสงคราม
ไม่อย่างนั้นคงพูดอะไรตั้งแต่แรกแล้ว
ตี้จิ้งก็ดูท่าจะจนปัญญา จึงสั่งพักการชุมนุม อีกยี่สิบนาทีค่อยมาถกกันต่อ
ซูลั่วนึกในใจ การเป็นฮ่องเต้ช่างน่าหดหู่ จะใช้ค้อนทุบโต๊ะเหมือนผู้พิพากษาก็ไม่ได้
ในตอนนั้นเอง เสียงของระบบก็ดังขึ้น
“มอบหมายภารกิจ:ช่วยฮ่องเต้ให้ได้สิทธิ์ในการนำศึกนี้
“รางวัลจากภารกิจ:คัมภีร์ฝึกยุทธ์ขั้นเก้า《วิชายุทธ์สวรรค์วินาศ》”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย้อนยุคไปเป็นสปายขันทีผู้เก่งกาจ!(จบ)
ทำไมจบที่บท 10 ละครับเนี่ย -.-"...
น่าสนุก น่าสนใจมากๆค่ะ ยังไม่เคยอ่านแนวขันทีเลย รอๆอัพเดทตอนต่อไปอีกนะคะ...