พอซูลั่วกับตี้จิ้งออกมาจากตำหนักคุนหนิง
รอบด้านก็มีความเคลื่อนไหวของคน
ซูลั่วเงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟ้า
เห็นทีวันนี้คงจะไม่ได้นอนแล้ว
จวนตระกูลเฉาในเมืองหลวง
ในห้องรับแขก เฉาเจียงและชุยเก๋อนั่งลงบนเก้าอี้ ข้างล่างมีขุนนางหลายระดับนั่งอยู่
ทั้งหมดเป็นพรรคพวกของเฉาเจียงและชุยเก๋อ
บรรยากาศในห้องรับแขกดูหดหู่ ทุกคนมีสีหน้าเคร่งขรึม
ชุยเก๋อหันหน้าไปหาเฉาเจียง พูดอย่างกลัดกลุ้ม
“ท่านเฉา หากเขาเป็นผู้ชายจริงๆ พวกเราจะทำอย่างไรกันดี”
เฉาเจียงเงียบไป
ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขากล้าก่อความวุ่นวาย ก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และที่สำคัญก็เพราะพวกเขาเชื่อว่าฮ่องเต้เป็นผู้หญิง
แต่ถ้าฮ่องเต้ไม่ใช่ผู้หญิง พวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว
อาจจะไม่ถึงขั้นถูกประหาร แต่ก็น่าจะเจ็บหนักพอดู
ตอนนั้นเอง ร่างในชุดดำร่างหนึ่งก็เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
เขาเดินเข้าไปหาสองคนนั้น แล้วเล่าทุกอย่างที่ได้ยินได้เห็นในคืนนี้ให้ทั้งสองฟัง
สีหน้าของทั้งคู่แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
ใบหน้าของชุยเก๋อมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา
“ท่านเฉา แย่แล้ว พรุ่งนี้เช้าฝ่าบาทต้องส่งทหารมาจับพวกเราแน่!”
“ข้าว่าพวกเรารีบเข้าวังไปขอความเมตตาจากฝ่าบาทเถอะ ดูจากยศของพวกเราแล้ว ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทคงไม่ทำอะไรพวกเรามากหรอก”
เฉาเจียงเหลือบมองชุยเก๋ออย่างเยือกเย็น
“ขอความเมตตารึ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจฮ่องเต้อีกหรือ ไปร้องขอความเมตตาคิดว่าพระองค์จะปล่อยพวกเราไปงั้นหรือ”
“จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ก็ต้องพึ่งพาอ๋องเยี่ยนเท่านั้น!”
ชุยเก๋อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แววตาหวาดผวาสุดขีด “ท่านเฉา ท่านหมายถึง…”
เฉาเจียงทำสัญญาณมือเป็นการปรามให้ชุยเก๋อเงียบ “เรื่องนี้จำเป็นต้องปรึกษากันให้ดีก่อน ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!”
ทำเนียบอัครมหาเสนาบดี
เย่จิ้นกำลังฟังรายงานจากสายสืบ หัวเราะเสียงดัง
“ดี! เห็นทีอีกไม่นานตระกูลเย่ก็จะได้มีรัชทายาทแล้ว!”
“ฮ่าๆ ๆ ข้าจะกลายเป็นพ่อตาของฮ่องเต้แล้ว!”
ไม่ใช่แค่พวกเขา ขุนนางในราชสำนักต่างก็มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้
คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัวขึ้น
ส่วนซูลั่วที่เป็นต้นต่อของเรื่องทั้งหมด ในตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่กลางตำหนักเว่ยยาง
ทั้งสองเพิ่งกลับถึงตำหนักเว่ยยาง ตี้จิ้งก็ให้ซูลั่วคุกเข่า
นางไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไม ยิ่งทำให้ซูลั่วรู้สึกกลัวจนตัวสั่น
เขาเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าเยือกเย็นของตี้จิ้ง
นางคงไม่ได้จะฆ่าข้าเพราะไปสวมเขาให้นางหรอกใช่ไหม
แต่นางเป็นคนสั่งให้ข้าไปเองนี่นา
อีกอย่างนางก็เป็นผู้หญิงด้วย
ต่อให้จับเย่กูหลานมาอยู่ต่อหน้านาง นางจะทำอะไรได้
ตี้จิ้งมองซูลั่วที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ในหัวก็นึกถึงเสียงอันน่าขยะแขยงที่ได้ยินในตำหนักคุนหนิงเมื่อครู่นี้อีก
คิ้วคู่งามขมวดเล็กน้อย เอ่ยอย่างเย็นชา
“ซูลั่ว เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองทำผิดอะไร”
บ้าเอ๊ย!
พอตี้จิ้งพูดจบ ซูลั่วก็ตัวสั่นเทิ้ม
นี่หรือที่เขาว่ากันว่าพอหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดี
ซูลั่วพูดเสียงสั่นเครือ
“ฝ่าบาท ข้าเสี่ยงชีวิตเข้าตำหนักคุนหนิง ถูกฮองเฮาทารุณอย่างโหดร้าย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อฝ่าบาทและประเทศชาติ”
“ข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาทอย่างสุดใจ แม้แต่สวรรค์ยังเป็นพยานได้ ข้ามีความผิดอะไรหรือฝ่าบาท!”
โบราณว่าไว้ ชีวิตก็เหมือนละคร ทุกตอนอาศัยฝีมือการแสดง
ในภพก่อนซูลั่วไม่มีงานอดิเรกอื่น นอกจากชอบดูหนังมาก
เขาจึงมั่นใจในฝีมือการแสดงของเขามาก
ไม่เชื่อก็ดูสิ พอซูลั่วพูดออกไปแบบนั้น สีหน้าของตี้จิ้งก็เปลี่ยนไปหลายครั้ง!
ตี้จิ้งมองซูลั่วแปลกๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย้อนยุคไปเป็นสปายขันทีผู้เก่งกาจ!(จบ)
ทำไมจบที่บท 10 ละครับเนี่ย -.-"...
น่าสนุก น่าสนใจมากๆค่ะ ยังไม่เคยอ่านแนวขันทีเลย รอๆอัพเดทตอนต่อไปอีกนะคะ...