ย้อนยุคไปเป็นสปายขันทีผู้เก่งกาจ!(จบ) นิยาย บท 8

ซูลั่วเดินตามขันทีหลี่มาถึงนอกตำหนักเว่ยยาง

ขันทีหลี่ยิ้มให้ซูลั่วพร้อมพูดว่า “ท่านขันทีซู รีบเข้าไปเถอะ อย่าให้ฝ่าบาทต้องรอนาน”

ซูลั่วพยักหน้า “ขอบใจมาก”

แล้วซูลั่วก็ก้าวเข้าไปในตำหนักเว่ยยาง

พอเข้าประตูมา ร่างกายของซูลั่วก็อ่อนยวบลงจนแทบล้มลงกับพื้น

อาจเป็นเพราะตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม

เมื่อครู่ตอนที่ยืนอยู่นอกตำหนักเว่ยยาง จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องเขาอยู่ในความมืด

เป็นสายตาที่มีความอาฆาตมาดร้ายเต็มเปี่ยม

ซูลั่วคาดคะเนอยู่ในใจว่าสามคนในนั้นอย่างน้อยต้องเป็นจอมยุทธ์ราวๆ ขั้นห้า

แต่ขันทีหลี่ที่เดินมาด้วยกันกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรแม้แต่นิด

เขาก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นสามเหมือนกันนี่นา!

มีความเป็นไปได้สองอย่างคือ หนึ่ง ขันทีหลี่สัมผัสถึงสายตาที่จ้องมองมาได้ แต่เพราะเป็นพวกเดียวกันจึงไม่ต้องหวาดกลัว

สอง สัมผัสที่หกของซูลั่วนี้อาจได้รับมาจากการฝึกฝนวิชายุทธ์สวรรค์วินาศ

แต่ตอนนี้เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้ว เขาต้องรีบนำเรื่องนี้ไปบอกตี้จิ้งโดยเร็ว

คิดได้ดังนั้น ซูลั่วก็รีบเข้าไปในตำหนักเว่ยยาง

พอเข้าไป ซูลั่วก็เห็นตี้จิ้งนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ อาศัยแสงที่เปล่งประกายจากไข่มุกมรกตอ่านสาส์นที่เหล่าขุนนางกราบทูล

ไม่รอให้เขาได้พูด ตี้จิ้งก็กล่าวขึ้นทั้งที่ก้มหน้าอยู่ว่า “มาแล้วรึ ไปอาบน้ำที่เรือนด้านหลังก่อนสิ ไม่อย่างนั้นถ้าเย่กูหลานได้กลิ่นบนตัวเจ้าที่ผิดแปลกไปจะเกิดความสงสัยเอาได้”

ซูลั่วพยักหน้า เตรียมจะเดินไปที่เรือนด้านหลัง

เดินไปได้สักพัก เขาถึงนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะพูดกับตี้จิ้ง

“ฝ่าบาท เรื่องอาบน้ำน่ะไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ข้ามีเรื่องสำคัญจะกราบทูลให้ทราบ”

ตี้จิ้งวางสาส์นที่กำลังอ่านในมือลง เงยหน้ามองซูลั่ว

ซูลั่วมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง พูดด้วยเสียงเบา

“ฝ่าบาท เมื่อครู่นี้ที่ประตูทางเข้าข้าสัมผัสได้ว่ามีคนจำนวนมากกำลังลอบจับตาดูตำหนักเว่ยยาง”

ตี้จิ้งมองซูลั่วอย่างประหลาดใจ “เจ้าสัมผัสได้หรือว่ามีคนอยู่ข้างนอกนั่น เจ้าเป็นจอมยุทธ์ขั้นหกรึ”

ซูลั่วอึ้งไป

ตี้จิ้งก็รู้หรือว่าข้างนอกมีคน?

แล้วทำไมถึงได้นั่งอ่านสาส์นอย่างทองไม่รู้ร้อนอยู่แบบนี้ได้

เมื่อเห็นซูลั่วไม่ตอบ ตี้จิ้งก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ

นางคิดว่าขันทีปลอมคนนี้ช่างลึกลับนัก เขารู้ทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องลับที่นางเองยังไม่อาจรู้ได้

มีฝีมือยุทธ์เก่งกาจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ตี้จิ้งโบกมือ “พวกนั้นเป็นคนที่ขุนนางส่งมา”

“เพราะอยากรู้ว่าคืนนี้ข้าจะไปหาฮองเฮาจริงหรือเปล่า”

“ไม่ต้องไปสนใจ อยากดูก็ให้พวกเขาดูไป”

ซูลั่วพยักหน้าตอบรับ

อย่างนี้นี่เอง

ดูแล้วหลายคนคงไม่อยากยอมรับจึงอยากพิสูจน์ให้แน่ใจว่าตี้จิ้งเป็นชายหรือหญิงกันแน่

เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ ก้มตัวคำนับตี้จิ้งแล้วเดินไปเรือนด้านหลัง

ตำหนักคุนหนิง

เย่กูหลานได้ยินว่าฮ่องเต้จะมาหาตนคืนนี้ นางทั้งรู้สึกประหลาดใจและสงสัยในคราวเดียวกัน

ถ้าถามว่าในอาณาจักรเหยียนสงสัยในตัวตนของฮ่องเต้มากที่สุด จะเป็นใครไม่ได้นอกจากเย่กูหลาน

เย่กูหลานเชื่อว่าตัวเองหน้าตางดงามที่สุดในแผ่นดิน ไม่มีใครเทียบได้

แต่หลังเข้าวังมาได้สามปีกว่า ฮ่องเต้ไม่เคยแตะต้องนางเลยสักครั้ง

พอได้ยินว่าฮ่องเต้เลือกที่จะนอนกับนางคืนนี้ นางจึงคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้

หรือจริงๆ ฮ่องเต้จะไม่ใช่ผู้หญิงและที่ผ่านมาเอาแต่ง่วนอยู่กับงานมากเกินไป

แต่ยังไงข้อกังหาพวกนี้ก็ไม่สำคัญแล้ว

พ้นคืนนี้ไป ตัวตนของฮ่องเต้ก็จะถูกเปิดเผยเป็นที่กระจ่างแล้ว

เย่กูหลานส่องกระจก พยักหน้าด้วยความพอใจ

นางลุกขึ้นยืนแล้วสั่งทำความสะอาดตำหนัก ส่วนตัวเองนำนางกำนัลอีกไม่กี่คนยืนรอรับฮ่องเต้อยู่ที่ประตู

นางรู้สึกประหม่าเป็นพิเศษ

ไม่นานนัก นางก็มองเห็นชายร่างกำยำสี่คนเดินหามเกี้ยวมาทางตำหนักคุนหนิงอยู่ลิบๆ

เย่กูหลานใจเต้นระรัว

เขามาจริงๆ ด้วย!

นางเพ่งมองจึงเห็นว่าด้านหน้าของเกี้ยวมีขันทีหนุ่มคนหนึ่ง

ไม่รู้ว่าทำไม แต่เย่กูหลานรู้สึกว่าขันทีหนุ่มท่าทางดูคุ้นตา ทว่านึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน

นางเงยหน้ามองเกี้ยว

ชุดคลุมมังกรสีแดง ร่างสูงโปร่ง ผมยาวปลิวสยาย มองไกลๆ รู้สึกถึงแต่ความสง่าน่าเกรงขามจนไม่กล้าเข้าใกล้

ดูสูงส่งราวกับมังกรที่ลอยอยู่บนฟ้ามองลงมายังมนุษย์โลก

ยิ่งใหญ่สมกับที่เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินจริงๆ

น่าเสียดายที่มืดเกินไป มองหน้าของฮ่องเต้ได้ไม่ชัดนัก แต่ข่าวที่ว่าฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเหยียนรูปงามยิ่งกว่าชายใดก็เป็นที่ร่ำลือไปทั่วทุกสารทิศแล้ว

เกี้ยวมาหยุดอยู่ตรงหน้าตำหนักคุนหนิง

เย่กูหลานยิ้มพร้อมค้อมตัวลงคำนับ “หม่อมฉันขอถวายบังคมและคารวะฝ่าบาทเพคะ”

นางกำนัลด้านหลังส่งเสียงอย่างพร้อมเพรียง “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”

ซูลั่วที่นั่งอยู่บนเกี้ยวไม่เคยพบเห็นความเอิกเกริกแบบนี้มาก่อน

เขานึกว่าตี้จิ้งแค่ส่งเขามานอนกับฮองเฮา แต่กลายเป็นว่านางให้เขาแต่งตัวเป็นฮ่องเต้ด้วย!

แต่ซูลั่วทำอะไรแบบนี้ไม่เป็น!

เขามองตี้จิ้งที่แต่งตัวเป็นขันทียืนอยู่ข้างหน้าเขาอย่างร้อนรน

แต่ตี้จิ้งเพียงแค่ยกมือขึ้นมาทำท่าปาดคอให้ซูลั่ว

ความหมายชัดเจนมาก

ตี้จิ้งเลือกที่จะไม่สนใจเย่กูหลาน

ส่วนซูลั่วเม้มปากเป็นเส้นตรง

เขาอดคิดไม่ได้ หากวันหนึ่งความจริงกระจ่างขึ้นมา

เย่กูหลานต้องได้รับฉายาว่าฮองเฮาที่กล้าบ้าบิ่นที่สุดในศตวรรษ!

เย่กูหลานสั่งให้บริวารแยกย้ายแล้วหันหน้ามามองซูลั่วด้วยใบหน้าอ่อนโยน พูดด้วยเสียงหวาน

“ฝ่าบาท ตามข้ามาเถิดเพคะ”

ซูลั่วมองใบหน้างดงามของเย่กูหลานด้วยใจสั่นไหว

รีบพยักหน้าแล้วเดินตามนางเข้าไปในห้องบรรทม

ตี้จิ้งก็เดินตามทั้งสองเข้าไปด้วย

นางจากไปตอนนี้ไม่ได้

อีกอย่างข้างนอกมีสายตาคอยสอดส่องอยู่มากมาย ที่สำคัญที่สุดคือนางกลัวว่าซูลั่วจะกลับคำ ไม่ทำตามที่ตกลงไว้

เพราะภารกิจนี้นับว่าเสี่ยงมาก

ดังนั้นนางต้องคอยเฝ้าดูความเคลื่อนไหวอยู่ที่นี่

ไม่นาน ตี้จิ้งก็พบว่าตัวเองคิดมากไป

พอเข้าห้อง ซูลั่วก็รีบเป่าเทียนทุกเล่มในห้องให้ดับ

ให้ตายสิ โอกาสดีๆ แบบนี้ก็ต้องรีบเข้าเรื่องให้เร็วที่สุด

อีกอย่างถึงเขาจะแต่งหน้า แต่ก็ไม่แน่ว่าเย่กูหลานอาจจะมองออกก็ได้ว่าเขาไม่ใช่ตี้จิ้ง เพราะฉะนั้นรีบดับเทียนในห้องให้หมดจะดีที่สุด!

ถ้าถูกจับได้ว่าเขาหลับนอนกับฮองเฮาขึ้นมา โดนประหารอีกสิบครั้งก็ยังไม่น่าจะพอ

แต่ตอนนี้น่ะเหรอ…

ซูลั่วยิ้มกริ่มพร้อมมองเย่กูหลาน

“ที่รัก ข้าอยู่นี่แล้ว!”

ซูลั่วพูดไปพลางถอดเสื้อคลุมมังกรไปพลาง อาศัยแสงจันทร์ที่ส่องมารางๆ พุ่งไปหาเย่กูหลาน

เย่กูหลานทำเสียงอ้อน “ฝ่าบาทรีบร้อนอะไรนักเพคะ”

พูดจบ นางก็เป็นฝ่ายเดินเข้าหาซูลั่ว

ในห้องมืดสนิทไร้แสงไฟ ถึงจะมองเห็นหน้าฮ่องเต้ไม่ชัด แต่แค่ได้เห็นร่างกำยำนั้น เย่กูหลานก็ดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว

ทั้งสองเข้ากอดรัดกันอย่างรวดเร็ว

เย่กูหลานได้กลิ่นเครื่องหอมอำพันทะเลบนตัวซูลั่ว นางหลับตาพริ้มอย่าพอใจ

ที่จริงแล้วเมื่อครู่นี้เย่กูหลานก็ยังคลางแคลงใจในตัวตนของฮ่องเต้ จนกระทั่ง ณ เวลานี้ที่นางได้กลิ่นหอมชวนหลงใหลจากกายของซูลั่ว นางถึงได้มั่นใจว่าชายตรงหน้าคือฮ่องเต้จริงๆ

คิดดังนั้น เย่กูหลานก็ยิ่งรุกหนักขึ้น

แสงจากดวงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา

เย่กูหลานถอดชุดคลุมของตัวเองออก แสงจันทร์ส่องลงบนผิวขาวนวลยิ่งทำให้น่าดึงดูดใจ

กลิ่นกายหอมไม่เหมือนใครราวกับยาเสน่ห์ที่ชวนให้หลงมัวเมา ทำให้ไฟราคะของซูลั่วถูกจุดขึ้นจนลุกโชน

มือของทั้งคู่กอดรัดและลูบไล้ราวกับกำลังค้นหาไปทั่วร่างของกันและกัน

ในความลุ่มหลงนั้น เย่กูหลานเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าในความมืดสลัว นางกัดริมฝีปาก เปล่งเสียงร้องครางอย่างสุขสมอารมณ์หมาย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย้อนยุคไปเป็นสปายขันทีผู้เก่งกาจ!(จบ)