บุตรสาวเมื่อแต่งงานออกเรือนไปแล้วก็กลายเป็นคนของครอบครัวผู้อื่น บุตรชายต่างหากที่ต้องรับผิดชอบเรื่องต่างๆ และเป็นผู้นำของครอบครัว จึงเป็นเรื่องปกติที่บุตรสาวจะมีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์อย่างไม่อาจประนีประนอมกับมารดาเลี้ยงบ้าง
ด้วยเหตุนี้หลี่มามาเองก็รู้สึกว่าคุณหนูของตนควรจะอดทนอดกลั้นเอาไว้ รอให้คุณหนูทั้งสองแต่งงานออกเรือนไปแล้วทุกอย่างก็จะดีเอง
ก่อนมานางได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าคุณหนูตระกูลโจวทั้งสองท่านจะมีนิสัยอย่างไร ต่อให้พวกนางจะถุยน้ำลายหรืออาเจียนใส่หน้านาง นางก็ต้องยิ้มเอาไว้ อดทนเอาไว้ และเคารพพวกนางทั้งสองโดยไม่พร่ำบ่นอะไรทั้งสิ้น
ไม่คิดว่าคุณหนูทั้งสองต่างก็เป็นคุณหนูจากตระกูลที่ดีงาม ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำก็ไม่มีเลยสักครั้งที่ไม่สงบเสงี่ยมและเกรงอกเกรงใจอย่างมีมารยาท ไม่แปลกใจที่นายท่านยอมให้คุณหนูแต่งเข้ามา กล่าวคือ ด้วยมารยาทของคุณหนูทั้งสองท่านนี้ ทั้งสองสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดียิ่งกว่าคุณหนูจากตระกูลจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อโดยทั่วไปเป็นอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้นางบังเกิดความประทับใจหลายส่วนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
หลี่ซื่อได้ยินคำพูดของหลี่มามาแล้วก็รีบกล่าวขึ้นว่า “ควรจะเป็นเช่นนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณหนูทั้งสองชอบทานอะไรบ้าง ประเดี๋ยวเจ้าไปสอบถามภรรยาของหม่าฟู่ซานเสียหน่อย นางปฏิสัมพันธ์กับคุณหนูทั้งสองมาเป็นเวลาหลายปี คนของตระกูลโจวที่คุ้นเคยกับคุณหนูทั้งสองมากที่สุด เกรงว่าคงจะเป็นนางผู้นี้แล้ว” ขณะที่กล่าว นางก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ไปเจ้าก็นำปิ่นปักผมทองไปด้วยสักสองชิ้น ไม่มีผู้ใดติเตียนผู้มีสัมมาคารวะได้”
การแต่งงานในครั้งนี้ ตระกูลหลี่พึงพอใจเป็นอย่างมาก เพียงแค่สินติดตัวเจ้าสาวก็มีมากถึงสองหมื่นเหลี่ยงเงินแล้ว ทุกๆ ปีนายหลี่ผู้เป็นบิดายังมอบเงินจำนวนสามพันเหลี่ยงเงินให้หลี่ซื่อเอาไว้เป็นเงินเก็บส่วนตัวอีกด้วย ด้วยเหตุนี้หลี่ซื่อจึงมีเงินใช้ไม่ขาดมือมาโดยตลอด กลับมาในคราวนี้ แค่ก้อนเงินสำหรับมอบเป็นเงินรางวัลให้ผู้อื่น นางก็หล่อเตรียมเอาไว้กว่าห้าร้อยเหลี่ยงเงิน
หลี่มามาเข้าใจในความหมายนั้น จึงไปยังที่ที่ภรรยาของหม่าฟู่ซานพักอยู่
ดังนั้นเมื่อโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นจัดเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย หลังจากที่ล้างหน้าล้างมือแล้ว ทางห้องครัวก็ยกสาลี่ต้มน้ำตาลกรวดเข้ามาให้
“ทางห้องครัวกล่าวว่า” ชุนหว่านที่ยกสาลี่ต้มน้ำตาลกรวดเข้ามากล่าว “วันนี้ดึกมากแล้ว หากทำอย่างอื่นเกรงว่าคุณหนูทั้งสองท่านจะอาหารไม่ย่อย คืนพรุ่งนี้ค่อยเปลี่ยนเป็นโจ๊กสามสหายของเม็ดบัว หัวไป่เหอฝาน และถั่วแดงเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นพยักหน้า
โจวเสาจิ่นยกถ้วยขึ้นมาแล้วชิมไปคำหนึ่ง
หลายวันมานี้นางรู้สึกคอแห้งอยู่บ้างพอดี
สาลี่ต้มน้ำตาลกรวดสีใสและมีรสหวาน ความร้อนก็กำลังพอดี
“อร่อย!” โจวเสาจิ่นกล่าวชม เห็นพี่สาวยังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับ จึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ก็รีบดื่มเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อยเท่าตอนนี้นะเจ้าคะ”
โจวชูจิ่นเพียงจิ้มลงไปบนหน้าผากของโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นอย่างเคืองๆ ว่า “ช่างเป็นเด็กโง่ผู้หนึ่งเสียจริงๆ เปล่าประโยชน์ที่อุตส่าห์เกิดมามีหน้าตาฉลาดเฉลียว”
เอ๋!
สิบกว่าปีแล้วที่โจวเสาจิ่นไม่ได้ยินพี่สาวว่านางเช่นนี้
ชาติก่อน หากนางทำอะไรผิดไป พี่สาวก็มักจะว่านางเช่นนี้เสมอ
แล้วครั้งนี้นางทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ของวันนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง นอกจากตอนอยู่จวนรองที่นางทำตัวเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงคอยสอดส่องไปทั่วทุกที่ของจวนรองอย่างอยากรู้อยากเห็นแล้ว ก็เหมือนกับว่านางจะไม่ได้ทำอะไรผิดไปเลยนี่นา!
โจวชูจิ่นเห็นท่าทีที่ยังคงไม่เข้าใจอะไรเลยของนางแล้วก็ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ และเมื่อเห็นว่านอกจากฉือเซียงที่เข้ามาช่วยจัดเตียงให้พวกนางแล้วภายในห้องก็ไม่ผู้ใดอีก จึงลดเสียงลงและกล่าวขึ้นว่า “เจ้าลองคิดดู พวกเราเพิ่งจะกลับมาถึง แต่ที่ห้องครัวกลับรู้ว่าในวันปกติพวกเราทานอะไรกันบ้าง ถ้าหากว่าฮูหยินไม่ได้ติดตามท่านพ่อกลับมาด้วย ภรรยาของหม่าฟู่ซานเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ว่าตอนนี้ฮูหยินติดตามกลับมาด้วย ภรรยาของหม่าฟู่ซานจึงไม่สามารถมายุ่งเกี่ยวเรื่องพวกนี้ได้แล้ว แต่ห้องครัวกลับมีปฏิกิริยาว่องไวขนาดนี้…ฮูหยินใหม่ของพวกเราผู้นี้ เกรงว่าจะไม่ใช่คนง่ายดายนัก”
โจวเสาจิ่นวางถ้วยลง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพี่อย่าคิดมากไปเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านพ่ออยู่ข้างพวกเรา ฮูหยินย่อมไม่อาจสร้างเรื่องได้ ต่อให้อยากสร้างเรื่อง พวกเรามีกันตั้งสองคน จะข่มขวัญนางไม่ได้เชียวหรือ ไม่แน่ว่าฮูหยินเพียงต้องการผูกมิตรกับพวกเราเท่านั้นก็เป็นได้ ในเมื่อความเป็นอยู่ภายในบ้านก็สงบสุขดีอยู่แล้ว ใครจะยินยอมให้เกิดความวุ่นวายดังไก่ที่บินว่อนและสุนัขที่กระโดดโลดเต้นขึ้นภายในบ้านได้ ถ้านางดีกับพวกเรา พวกเราก็เพียงตามน้ำไปตามน้ำใจของนางก็พอ หลังจากที่ท่านพี่ไปอยู่เจิ้นเจียงแล้ว ข้ายังอยู่ที่บ้านอีกอย่างมากก็สองถึงสามปี คาดว่าฮูหยินก็น่าจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่ายผู้หนึ่ง”
โจวชูจิ่นได้ยินแล้วก็ชะงักงัน จากนั้นก็หัวเราะออกมาพลางกล่าว “ไม่รู้ว่าเจ้าโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่ แต่เจ้าก็พูดถูก อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่กับนางเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ขอเพียงให้ทุกคนสามารถมองหน้ากันได้ก็พอแล้ว ท่านพ่อจะได้ไม่ต้องลำบากใจด้วย”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นหัวเราะเสียงใสพลางคะยั้นคะยอให้โจวชูจิ่นทานสาลี่ต้มน้ำตาลกรวด “น้ำตาลกรวดนี้อร่อยยิ่งนัก เป็นไปได้ว่าฮูหยินนำกลับมาจากหนานชาง!”
โจวชูจิ่นทานไปหนึ่งคำ รสชาติหวานแต่ก็ไม่ได้หวานโดดมากจนเกินไป นับว่าใช้วัตถุดิบที่ดีมากจริงๆ
นางสั่งการฉือเซียงว่า “ข้าจำได้ว่าท่านยายให้ท่านลุงใหญ่ห่อขนมทานเล่นของซูโจวให้พวกข้านำกลับมาด้วยสองห่อ เจ้านำไปมอบให้ฮูหยิน บอกนางว่าเป็นคำขอบคุณจากพวกข้าทั้งสอง”
ฉือเซียงยิ้มพลางเดินออกไป
โจวเสาจิ่นกับพี่สาวบ้วนปากเสร็จก็ไปพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น ภรรยาของหม่าฟู่ซานมาปลุกพวกนางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง “ต้องไปกราบไหว้บรรพชน คุณหนูทั้งสองท่านอย่าให้สายนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นลุกขึ้นมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
ปู่ของโจวเจิ้นซื้อที่ดินสำหรับสร้างสุสานได้ผืนหนึ่งบริเวณตีนเขาชิงหลงทางทิศตะวันออกของเมืองจินหลิง แล้วย้ายหลุมฝังศพของปู่ทวดย่าทวด ปู่ย่า และบิดามารดาของตนมาฝังอยู่ที่นี่ จึงถือว่าที่นี่เป็นสุสานของตระกูลโจว
ลำดับแรกพวกนางต้องนั่งเกี้ยวไปที่สะพานไป๋เซี่ยก่อน จากนั้นค่อยนั่งเรือจากทะเลสาบเยี่ยนเชวี่ยข้ามฟากไปที่เขาชิงหลง
หลังจากที่ทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าก็สว่างพอดี โจวเสาจิ่นและพี่สาวไปคารวะบิดาและหลี่ซื่อที่ห้องหนังสือ
โจวเจิ้นเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยตั้งนานแล้ว กำลังนั่งคุยกับหม่าฟู่ซานอยู่ที่แปลงดอกไม้หน้าห้องหนังสือไปด้วย พลางรอพวกนางสองพี่น้องไปด้วย พอเห็นพวกนางสองพี่น้อง ก็หัวเราะออกมาในทันที กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าสวมเสื้อผ้าหลายตัวขนาดนี้ ระวังอีกประเดี๋ยวจะรู้สึกร้อนเอาได้”
ตอนนี้เข้าสู่ช่วงที่อากาศจะเย็นในตอนเช้ากับตอนกลางคืน และร้อนในตอนกลางวัน
โจวเสาจิ่นสองพี่น้องคนหนึ่งสวมชุดเพ่ยจื่อสี่ม่วงอ่อนลายลูกพลับสี่แฉก ส่วนอีกคนสวมชุยเพ่ยจื่อสี่ขาวพระจันทร์ลายเถาวัลย์องุ่น
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “น้องสาวร่างกายอ่อนแอ ทนอากาศหนาวไม่ค่อยได้ พวกข้านำเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยไปด้วย ค่อยเปลี่ยนตอนที่อากาศร้อนขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเจิ้นพยักหน้าพลางกล่าว “มาเถิด ข้ามีของจะมอบให้พวกเจ้าสองพี่น้อง”
โจวเสาจิ่นและพี่สาวตามโจวเจิ้นเข้าไปในห้องหนังสือ
โจวเจิ้นหยิบกล่องเล็กๆ ออกมาสองกล่อง ทำจากไม้หวงลี่แกะสลักลายดอกไม้ ประณีตและงดงามยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นนึกถึงของขวัญที่หลี่ซื่อมอบให้นางกับพี่สาวตอนที่พบหน้ากันเมื่อวาน เป็นเครื่องประดับศีรษะทับทิมหนึ่งชุดและไพลินอีกหนึ่งชุด กล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “นี่อะไรหรือเจ้าคะ”
แววตาเจ้าเล่ห์สายหนึ่งวาบตานัยน์ตาของโจวเจิ้น กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าลองทายดู!”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน