“เจ้าไม่ไปจริงๆ หรือ!” โจวเจิ้นหยอกเย้าบุตรสาวคนเล็ก
“ไม่ไปจริงๆ เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นยืนยันหนักแน่น “ท่านพาพี่สาวไปเถิดเจ้าค่ะ!”
จริงๆ แล้วโจวชูจิ่นอยากไปอยู่บ้าง แต่พอโจวเสาจิ่นไม่ไป นางจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจไม่ไปด้วยเช่นกัน
“ท่านพี่” โจวเสาจิ่นพยายามโน้มน้าวให้โจวชูจิ่นออกไปเดินเล่นดูสักหน่อย “ไม่ง่ายเลยกว่าที่ท่านพ่อจะได้กลับมาหนหนึ่ง ต่อไปคงไม่อาจมีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว ข้าไม่ชอบออกจากบ้านไปที่ไกลขนาดนั้นจริงๆ ท่านออกไปเที่ยวกับท่านพ่อให้สนุกเถิดนะเจ้าคะ! หากท่านไม่วางใจ ข้าจะไปพูดกับท่านพ่อให้พาฮูหยินไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ท่านคงจะวางใจลงได้แล้วใช่หรือไม่”
“ไปกับนางมีอะไรให้เล่นสนุกได้หรือ” โจวชูจิ่นกระซิบกล่าว
“นางกำลังตั้งครรภ์ ย่อมไม่สามารถเดินตามท่านพ่อได้เป็นแน่ เวลาที่นางพักผ่อนอยู่ในห้อง ท่านก็ตามท่านพ่อไปดูนั่นดูนี่ ท่านเองก็จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับข้าด้วย” โจวเสาจิ่นช่วยโจวชูจิ่นจัดเตรียมข้าวของสำหรับออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง โจวชูจิ่นทานคำรบเร้าของนางไม่ไหว บวกกับในใจก็ปรารถนาอยากออกไปข้างนอกกับบิดาด้วยจริงๆ ดังนั้นจึงพาหลี่ซื่อไปด้วย นางกำชับย้ำกับโจวเสาจิ่นกว่าพันรอบ ถึงได้วางใจและขึ้นรถม้าไป
โจวเสาจิ่นหันไปโบกไม้โบกมือให้พี่สาวอย่างกระฉับกระเฉง กระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวออกจากประตูใหญ่ไปแล้ว นางถึงได้หมุนตัวกลับเข้าบ้านไป
ชุนหว่านเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนู พวกเราจะทำงานเย็บปักอยู่ในบ้านจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นจริงๆ!” โจวเสาจิ่นเย้าหยอกชุนหว่าน นำกระดาษออกมากางลงบนโต๊ะหนังสือ
นางรับปากว่าจะร่างแบบสำหรับผ้าคลุมเด็กทารกให้กับบุตรที่ยังไม่เกิดของเฉิงเซียว คำนวณเวลาแล้ว อีกหนึ่งเดือนเฉิงเซียวก็น่าจะครบกำหนดคลอดแล้ว นางเองก็ต้องเร่งมือร่างแบบออกมาให้เร็วหน่อย คนจากโรงตัดเย็บก็จะได้เริ่มงานเย็บปักได้เร็วขึ้นด้วย
ชุนหว่านค่อนข้างจะไม่เชื่อ แต่โจวเสาจิ่นกลับนั่งอยู่ในบ้านโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลยทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลาจุดโคมไฟ โจวชูจิ่นก็กลับมาพร้อมกับโจวเจิ้น นางถึงได้บีบนวดหัวไหล่แล้ววางพู่กันลง
โจวเจิ้นพาโจวชูจิ่นไปวัดจีหมิงที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตีนเขาจีหมิงมา
“งดงามตระการตายิ่งนัก!” เห็นได้ชัดว่าโจวชูจิ่นค่อนข้างมีความสุข “ว่ากันว่ากว้างใหญ่กว่าวัดเป้าเอินเสียอีก…เจ้าเองก็ควรจะไปดูสักครั้ง…ข้ายังได้เห็นพระพุทธรูปกวนอิมองค์ที่ประทับหันหน้าไปทางทิศเหนือองค์นั้นด้วย โคลงสองบรรทัดบนแท่นวางพระพุทธรูปเขียนเอาไว้ว่า ถามองค์พระโพธิสัตว์ว่าเหตุใดถึงนั่งกลับหัว ยกย่องสรรพสัตว์ที่ไม่ยอมกลับหัว…ท่านลุงที่ไปกับท่านพ่อด้วยกล่าวว่า นอกจากวัดจีหมิงแล้ว ก็มีเพียงวัดหลงซิ่งที่เจิ้งติ้งเท่านั้นที่มีพระพุทธรูปขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่หนึ่งองค์ที่คล้ายๆ กับองค์นี้…”
นางเล่าประสบการณ์ที่พบเห็นตอนไปเขาจีหมิงให้น้องสาวฟัง
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ ขณะฟัง รู้สึกว่าวันนี้ตนก็ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่บ้างเหมือนกัน กล่าวคือ นางร่างภาพเด็กน้อยวิ่งเล่นสำหรับทำผ้าคลุมเด็กทารกให้บุตรของเฉิงเซียวเสร็จแล้ว รอกลับไปก็สามารถนำไปมอบให้หยวนซื่อได้แล้ว
หลี่ซื่อกลับไม่ค่อยรื่นเริงนัก
โจวเจิ้นและผู้อื่นต่อบทกลอน ชื่นชมความงามของทิวทัศน์กัน แต่นางกลับทำได้เพียงนั่งรออยู่ในห้องข้างภายในวัดเท่านั้น
เป็นโจวชูจิ่นที่สามารถติดตามออกไปดูนั่นดูนี่ทั่วทุกที่
ยังดีที่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาโจวเจิ้นก็ไม่ได้ออกไปเที่ยวกับสหายอีก มีแต่พาหลี่ซื่อ โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นออกไปเยี่ยมเยียนสหายบางคนแทนเท่านั้น
โจวเสาจิ่นถึงได้รู้ว่าบิดามีสหายสนิทอยู่ในเมืองจินหลิงเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
เป็นเช่นนี้อยู่ไม่กี่วันก็ถึงวันที่หก
ลำดับแรกโจวเจิ้นไปกล่าวอำลาที่ซอยจิ่วหรูก่อน ตอนเที่ยงนั่งล้อมวงทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวหนึ่งมื้อ จากนั้นช่วงบ่ายก็เริ่มจัดเก็บข้าวของ
โจวเสาจิ่นมองไปที่ต้นซีฝู่ไห่ถัง[1]ที่อยู่บริเวณหน้าบันไดที่มารดาปลูกขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างฝืนใจ
ในใจของโจวชูจิ่นเองก็เต็มไปด้วยความเศร้าที่ต้องแยกจากกัน นางโอบไหล่ของน้องสาวเอาไว้ มองตามสายตาของน้องสาวไปที่กิ่งก้านและใบที่อุดมสมบูรณ์ของต้นซีฝู่ไห่ถังต้นนั้น นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
ตกกลางคืน โจวเจิ้นเรียกบุตรสาวทั้งสองคนไปที่ห้องหนังสือ ปรารถนาจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่เมื่อมองบุตรสาวคนโตที่รู้ความและบุตรสาวคนเล็กที่เชื่อฟังแล้ว กลับไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี จึงชงชาด้วยตัวเองกาหนึ่ง จากนั้นชวนโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นชิมชาด้วยกัน
ในวันที่เจ็ดวันนั้นฟ้ายังไม่ทันได้สว่าง โคมไฟที่บ้านตระกูลโจวก็ถูกจุดขึ้นอย่างสว่างไสวแล้ว
หลี่ฉางกุ้ยสั่งการป้ารับใช้และบ่าวชายเคลื่อนย้ายสัมภาระของโจวเจิ้นสองสามีภรรยา หม่าฟู่ซานตรวจตราความเรียบร้อยของรถม้าให้โจวเจิ้นอยู่ในโรงม้า ส่วนภรรยาของหม่าฟู่ซานช่วยโจวเสาจิ่นสองพี่น้องเก็บข้าวของ
อาหารต่างๆ สำหรับเดินทางได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว กระทั่งโจวเจิ้นรับมื้อเช้าเสร็จ เฉิงเหมี่ยนกับเฉิงอี๋ก็มาถึง
พวกเขามาเพื่อส่งโจวเจิ้น
ทั้งสามคนคุยกันอยู่ในลานได้สักพักหนึ่ง สหายของโจวเจิ้นอีกหลายคนก็ตามมาสมทบด้วย
ทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน กระทั่งได้เวลาออกเดินทาง
รถม้าจอดรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่ หม่าฟู่ซานเข้ามาเชิญโจวเจิ้นไปขึ้นรถม้า
หลังจากที่โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นส่งหลี่ซื่อขึ้นรถม้าไปแล้ว โจวเจิ้นสนทนากับคนที่มาส่งอีกหลายประโยค จากนั้นก็ขึ้นรถม้าที่หลี่ซื่อนั่งอยู่ ส่วนเฉิงเหมี่ยนกับโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ขึ้นเกี้ยวไปส่งพวกเขาออกจากเมือง
หลังจากที่โจวเจิ้นกล่าวล่ำลาสหายหลายคนเสร็จแล้ว กำชับกับบุตรสาวทั้งสองว่า “หากมีเรื่องอะไรให้เขียนจดหมายมาบอกข้า เงินไม่พอใช้ก็ให้บอกหม่าฟู่ซาน ห้ามให้ตัวเองต้องลำบากเป็นอันขาด รอให้ข้าจัดการทางโน้นได้เข้าที่เข้าทางแล้ว หากเวลาเอื้ออำนวย พวกเจ้าก็ไปอยู่กับข้าสักพัก”
โจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
หลี่ซื่อรีบกล่าวปลอบโยนว่า “คุณหนูทั้งสองท่านอย่าร้องไห้อีกเลยหน้าจะเลอะเอาได้ รอให้ผ่านไปสักพักแล้วไปเที่ยวที่เป่าติ้งกัน”
สองพี่น้องตระกูลโจวพยักหน้า ยืนมองจนรถม้าของโจวเจิ้นและมารดาเลี้ยงค่อยๆ ไกลออกไปแล้ว ทั้งสองถึงได้กลับเข้าเมืองจินหลิงพร้อมกับเฉิงเหมี่ยน เฉิงอี๋และสหายอีกหลายคนของโจวเจิ้น
เฉิงอี๋มียศเป็นจวี่เหริน อีกทั้งยังเป็นผู้ดูแลสำนักศึกษาตระกูลเฉิง ในจินหลิงก็ถือได้ว่ามีชื่อเสียงประมาณหนึ่ง นอกจากนี้สหายของโจวเจิ้นเหล่านี้ก็เป็นผู้มีการศึกษา มีสองคนที่คุ้นเคยกับเฉิงอี๋เป็นอย่างดี ส่วนอีกหลายคนที่เหลือบางคนมีโอกาสได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งหรือบางคนก็เพียงเคยได้ยินชื่อของเฉิงอี๋มาก่อนเท่านั้น แต่เมื่อมีโจวเจิ้นเป็นผู้เชื่อมความสัมพันธ์ ไม่นานทุกคนต่างก็สนิทสนมกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เฉิงอี๋จึงเชิญพวกเขาไปดื่มสุรากันที่หอเจียงตง
ทุกคนจึงไม่เกรงใจอีก ต่างตอบรับอย่างชื่นมื่น
เฉิงเหมี่ยนต้องไปส่งโจวเสาจิ่นสองพี่น้องกลับซอยจิ่วหรู จึงยิ้มพลางกล่าวขออภัยพวกเขา “…ครั้งหน้าข้าจะเป็นเจ้ามือเอง”
ทุกคนต่างไม่ยินยอม คะยั้นคะยอให้เขารีบไปรีบกลับ “…พวกข้าจะรอเจ้ามาก่อนแล้วค่อยเปิดสุรา”
เฉิงเหมี่ยนไม่มีทางเลือก จึงรับปากว่าหลังจากที่ส่งสองพี่น้องตระกูลโจวเสร็จแล้วจะเร่งตามไปที่หอเจียงตง ถึงสามารถเลี่ยงออกมาได้ด้วยประการฉะนี้
โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม
เฉิงเหมี่ยนยิ้มพลางลูบศีรษะของนาง
เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียง ยังไม่ทันจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่ได้ยินข่าวคราวแล้วก็มาหาโดยมีฮูหยินใหญ่เหมี่ยนช่วยประคองเอาไว้



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน