เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 110

“เกรงว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติอยู่บ้าง” โจวเจิ้นกล่าวขึ้นอย่างตรึกตรอง

โจวเสาจิ่นเบิกตาโพลง “ผิดปกติอย่างไรเจ้าคะ”

ตอนนี้บุตรสาวกำลังช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวของจวนหลักคัดลอกพระธรรมอยู่ อีกทั้งเขายังปรารถนาจะยกฐานะทางสังคมของบุตรสาวผ่านฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อย เปรียบเทียบกับจวนรองและจวนสามแล้ว โจวเจิ้นย่อมโอนเอียงไปทางจวนหลักมากกว่า

ให้บุตรสาวช่วยนำความไปแจ้งจวนหลักก็ดีเหมือนกัน!

โจวเจิ้นตัดสินใจ กล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าวงศ์ตระกูลจะสูงส่งเพียงใด กำลังทรัพย์ ทรัพยากร และเส้นสายล้วนมีจำกัด มีเพียงบุตรหลานที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลถึงจะได้รับการผลักดันอย่างเต็มที่จากตระกูล แต่แม้นเป็นเช่นนี้ เหตุเพราะ ‘งานขึ้นอยู่กับคน ผลขึ้นอยู่กับฟ้า’ ฉันใด บุตรหลานที่โดดเด่นคนอื่นๆ ของวงศ์ตระกูลจึงไม่อาจยอมแพ้ด้วยฉันนั้น ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบนายท่านสี่ฉือเพียงสองครั้ง แต่ไม่เคยสนทนาด้วย ทว่าครั้งนี้พอได้พบ…” เขาขมวดคิ้วแน่น “ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เขามียศตำแหน่ง เพียงแค่กริยาท่าทางและการกระทำที่หนักแน่นแต่ไม่ขาดความยืดหยุ่น ละเอียดรอบคอบแต่ไม่อ้อมค้อม ก็นับว่าเป็นบุคคลที่สมบูรณ์เพียบพร้อมอย่างยิ่งผู้หนึ่ง โดดเด่นเหนือกว่าบรรดาบุรุษวัยเดียวกันที่ข้าเคยพบเจอ โดดเด่นยิ่งกว่าบุรุษที่สูงวัยกว่าเขาเสียอีก ทว่าเหตุใดตระกูลเฉิงถึงได้มอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแลกิจการภายในของตระกูลแทนการรับราชการเล่า เช่นนี้ไม่เป็นการเสียของเปล่าๆ หรอกหรือ”

ต้องรู้ว่า ไม่ง่ายเลยที่จะมีจิ้นซื่อคนหนึ่งเกิดขึ้นในตระกูล

“ท่านพ่อก็คิดอย่างนี้หรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วนัยน์ตาเบิกโพลง กล่าวขึ้นว่า “ข้าก็คิดว่าแปลกเช่นกันเจ้าค่ะ แต่ได้ยินคนในซอยจิ่วหรูกล่าวกันว่า เนื่องจากนายท่านใหญ่กับนายท่านรองของจวนหลักรับราชการอยู่ต่างถิ่น กิจการภายในตระกูลจึงไม่มีใครดูแล”

“ยังมีเฉิงเจียซ่านอยู่มิใช่หรือ”

“แต่เฉิงเจียซ่านเป็นอั้นโส่วผู้หนึ่งนะเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวพึมพำอย่างระมัดระวัง

โจวเจิ้นกลับไม่คิดเช่นนั้น กล่าวแย้งว่า “ตอนนี้เขาเป็นเพียงอั้นโส่วผู้หนึ่ง แต่นายท่านสี่ฉือนั้นเป็นผู้ที่มียศตำแหน่งอยู่ในมือแล้ว”

จริงด้วย!

ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีกว่าเฉิงเจียซ่านจะสอบผ่านจนมีตำแหน่งเป็นจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อได้ แต่เฉิงฉือผู้นี้มีทุกสิ่งครบถ้วนแล้ว ขาดแต่เพียงลมบูรพาเท่านั้น

ต้องเป็นเพราะหยวนซื่อที่ต้องการทำเพื่อบุตรชายของตนเอง ฉะนั้นจึงหาวิธีรั้งเฉิงฉือให้อยู่ในจวนเป็นแน่

โจวเสาจิ่นคาดเดาด้วยเจตนาร้าย ทว่ากลับกล่าวออกไปอย่างไม่อคติว่า “เฉิงเจียซ่านเป็นทายาทสายตรงของจวนหลัก หากว่าเขาต้องมาดูแลกิจการต่างๆ ของตระกูล ครั้นพวกท่านลุงใหญ่จิงเกษียณแล้ว ใครจะมาช่วยหนุนหลังจวนหลักได้เจ้าคะ”

โจวเจิ้นยิ้มพลางกล่าว “หากเป็นตามที่เจ้ากล่าวมา เช่นนั้นตระกูลโจวของพวกเราไม่ต้องอดตายกันแล้วหรอกหรือ”

โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก

ตระกูลโจวของพวกนาง มีบิดารับราชการอยู่ข้างนอก ฝากฝังบุตรสาวทั้งสองคนให้ตระกูลฝั่งท่านยายช่วยดูแล กิจธุระภายในตระกูลไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ล้วนอาศัยหม่าฟู่ซานเป็นผู้จัดการ ไม่เพียงแต่พวกนางพี่น้องจะไม่เคยขาดแคลนอาหารการกินหรือเครื่องนุ่งห่มแล้ว ในทางกลับกันทรัพย์สินที่ดินของตระกูลกลับเพิ่มทวีมากขึ้นในทุกๆ ปี กระทั่งเมื่อถึงยามที่พี่สาวออกเรือน บิดาก็ยังสามารถซื้อที่นาขนาดสามร้อยหมู่ที่เมืองหูโจวสำหรับเป็นสินสอดมอบให้พี่สาวอีกด้วย

ต้องรู้ว่าทางตอนใต้นั้นแตกต่างจากตอนเหนือ มีประชากรน้อยกว่า หากว่าตระกูลใดครอบครองที่นาเจ็ดถึงแปดหมู่ก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีอันจะกินแล้ว ที่นาขนาดสามร้อยหมู่นั้นมีค่าเทียบเท่าเรือกสวนไร่นาขนาดใหญ่หลายฉิ่งในตอนเหนือ

โจวเจิ้นกล่าวขึ้นว่า “ปีนี้เฉิงฉือเพิ่งจะอายุยี่สิบห้าปี ถ้าหากไม่เกิดเคราะห์ร้ายใดๆ ยามที่เขาเกษียน อย่างน้อยที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องในอีกสามสิบปีข้างหน้า ไม่แน่ว่าอาจจะถึงสี่สิบปีก็เป็นได้ ป่านนั้นเกรงว่าเฉิงเจียซ่านคงมีหลานแล้วกระมัง ต่อให้คิดว่าเฉิงเจียซ่านเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้ผู้หนึ่ง จะฉุดรั้งความก้าวหน้าของเขาก็เป็นที่น่าเสียดาย ทว่านายท่านรองเว่ยก็มีบุตรชายคนหนึ่งมิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ส่งเขากลับมาที่บ้านเดิมเพื่อเรียนรู้กิจการงานต่างๆ ของตระกูลกับนายท่านสี่ฉือเล่า ภายในตระกูลมีพ่อบ้านใหญ่ผู้มากความสามารถคอยสนับสนุนอยู่ ทั้งยังมีฮูหยินผู้เฒ่ากัวคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แม้นเขาจะโง่งมเป็นโคลนตม ก็พอถูไถไปได้อีกหลายปี ยิ่งกว่านั้นโดยปกติแล้วครอบครัวของขุนนางก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ ขอเพียงการงานในราชสำนักของสามพี่น้องตระกูลเฉิงจวนหลักมั่นคงยืนนาน กิจการงานของตระกูลเฉิงย่อมไม่มีสะดุด เหตุผลนี้แม้แต่ข้ายังเข้าใจ แล้วท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองและฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่เข้าใจได้อย่างไร!”

เขากล่าวพลางลุกขึ้นยืนด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง เดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องถึงสองรอบถึงหยุดชะงักลง เอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินหยวนทราบเรื่องที่นายท่านสี่ฉือไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงวันนี้หรือไม่ แล้วพวกนางมีท่าทีอย่างไรบ้าง”

โจวเสาจิ่นมองบิดาด้วยความประหลาดใจ ถามกลับไปว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้มาร่วมงาน ส่วนฮูหยินหยวนนั่งอยู่เพียงครู่เดียวก็ลุกออกไปแล้ว เป็นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จากจวนสามที่นำท่านป้าใหญ่หลูและฮูหยินคนอื่นๆ มาดูแลต้อนรับมารดาเจ้าค่ะ”

เนื่องด้วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวครองตัวเป็นหม้าย หลายปีมานี้จึงไม่พบปะหรือรับแขก ดังนั้นผู้ที่มาเยี่ยมเยียนตระกูลเฉิงจึงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเมื่อได้พบฮูหยินผู้เฒ่ากัว คราวก่อนที่พวกนางไปเยี่ยมจวนหลัก ทุกคนต่างคิดว่าจะได้พบเพียงแค่ฮูหยินหยวนเท่านั้น ไม่คาดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมาต้อนรับหลี่ซื่อด้วยตนเอง โจวเจิ้นถึงได้กล่าวว่า พวกเขาล้วนแล้วแต่ได้รับอานิสงส์จากโจวเสาจิ่นอย่างแท้จริง

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” โจวเจิ้นได้ยินแล้วก็กล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “มีเรื่องหนึ่งที่เกรงว่าเจ้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน หลังจากจบงานเลี้ยงต้อนรับในตอนกลางวัน เจ๋อเหล่าเรียกข้าเข้าไปยังห้องหนังสือของเขา และแนะนำพี่ชายสือของเจ้าให้ข้าอย่างเป็นทางการ ซ้ำยังให้เขาคอยอยู่ข้างๆ และเล่นหมากรุกกับข้าสองสามตา ระหว่างนั้นเขาไม่เพียงกล่าวถึงบรรดาสหายเก่าและลูกศิษย์ของท่านผู้เฒ่าที่อยู่จิงเฉิง ทว่ายังเอ่ยถึงคนของตระกูลหงและตระกูลหวงอีกด้วย…”

นี่หมายความว่าอะไร

คิดจะตีสนิทบิดาอย่างนั้นหรือ

หรือว่าด้วยเหตุนี้ เฉิงซวี่ถึงได้ออกหน้ามาต้อนรับบิดาด้วยตนเอง ทั้งยังต้อนรับอย่างใหญ่โต โดยให้บรรดาบุรุษเกือบทุกคนของตระกูลในซอยจิ่วหรูมาต้อนรับแขก

ทว่าท่านพ่อเป็นเพียงเจ้าเมืองเป่าติ้งชั้นผู้น้อย ห่างไกลจากตำแหน่งจิ่วชิงมากยิ่งนัก…

เฉิงซวี่กระทำเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะเป็นการขโมยไก่ไม่สำเร็จแต่กลับต้องเสียข้าวอีกหนึ่งกำมือด้วยหรืออย่างไร

“ชะ…เช่นนั้นท่านว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

เฉิงซวี่ปล่อยคนดีมีความสามารถอย่างเฉิงฉือไม่ยอมใช้งาน แต่กลับไปซื้อใจผู้อื่นไปทั่วอย่างกระวนกระวายใจเพื่อช่วยเหลือเหลนชายสืบสายเลือดที่มีตำแหน่งเป็นเพียงซิ่วไฉผู้นั้นของตน!

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นสตรีที่ไม่เป็นรองบุรุษผู้หนึ่งมิใช่หรือ จะไม่ใส่ใจได้อย่างไร!

เฉิงฉือเป็นผู้ที่หยิ่งทะนงขนาดนั้น ย่อมไม่ยอมลดตัวมาแก่งแย่งชิงดีด้วยเป็นแน่ แต่หากว่าเขาไม่สู้ เบื้องหน้ามีเฉิงสวี่ เบื้องหลังมีเฉิงสือ ข้างๆ ยังมีเฉิงซวี่ผู้เปรียบเสมือนเสือที่จ้องเหยื่ออยู่ไม่วางตาผู้นั้น เขาคงจะต้องข่มใจลงและยอมดูแลกิจการงานของตระกูลเฉิงไปตลอดชีวิตเสียแล้ว

เช่นนั้นการที่เขาสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อมาอย่างยากลำบากจะมีประโยชน์อันใดเล่า

ไม่แปลกใจที่ชาติก่อนนางจะไม่มีภาพจำของท่านน้าฉือผู้นี้เลย!

สุดท้ายตระกูลเฉิงก็ถูกยึดทรัพย์สินและกวาดล้างทั้งตระกูล ท่านน้าฉือที่หลบหนีไปแล้ว ก็ยังย้อนกลับมาบุกลานประหาร…ด้วยเหตุผลเพราะเฉิงสวี่เป็นหลานคนโตของตระกูลเฉิงจวนหลักอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นหากว่าเขาปกปิดตัวตนของเขาเพียงคนเดียว ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้เป็นแน่ จะถูกทางการตามฆ่าอีกได้อย่างไร เฉิงลู่กล่าวว่า เฉิงสวี่แขนขาดไปข้างหนึ่ง ท่านน้าฉือจะได้รับบาดเจ็บเหมือนกันหรือไม่…เกลียดตนเองเหลือเกินที่ตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านน้าฉือเป็นใครเลยแม้แต่น้อย จึงไม่ได้ซักถามอะไรมาเลยสักคำ…

ตอนที่ 110 บอกกล่าว 1

ตอนที่ 110 บอกกล่าว 2

ตอนที่ 110 บอกกล่าว 3

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน