ถ้าหากนางเดินจากไปเช่นนี้ ไม่เท่ากับว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ
หากว่าครั้งนี้นางไม่ทำหน้าหนารั้งอยู่ต่อล่ะก็ ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่ถึงจะมีข้ออ้างมาหาเขาในครั้งต่อไปได้
นอกจากนี้เรื่องที่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองพูดกับบิดานั้น ก็ต้องเล่าให้เขาฟังให้เร็วที่สุดถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นกำหมัด แสร้งทำอะไรบางอย่าง ยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขน
เฉิงฉือประหลาดใจยิ่งนัก
นัยยะของเขาชัดเจนเป็นอย่างมากอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวผู้นี้กลับไม่เข้าใจ
หรือเป็นเพราะเขาติดต่อกับคนเช่นกู้จิ่วเนี่ยมาเป็นเวลานาน กิริยามารยาทเลยมีนัยยะเป็นปริศนามากเกินไปอย่างนั้นหรือ
เฉิงฉือลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับโจวเสาจิ่น
เช่นนี้ เด็กสาวผู้นี้ก็คงจะรู้ความหมายของเขาแล้วกระมัง!
เจ้าบ้านที่ตั้งใจต้อนรับแขกจริงๆ มักจะเชิญให้แขกนั่งลงพร้อมกับตัวเองตรงที่นั่งฝั่งตะวันตกของโต๊ะ หากมีการแบ่งอาวุโสหรือตำแหน่ง คนที่ตำแหน่งสูงกว่าหรือก็คือเจ้าบ้านจะนั่งตรงฝั่งตะวันตกของโต๊ะ ส่วนคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าหรือคนที่เป็นแขกจะนั่งตำแหน่งที่อยู่ถัดลงไป
กล่าวคือเฉิงฉือไม่ได้ต้อนรับโจวเสาจิ่นเยี่ยงแขก ความหมายค่อนไปในทางว่า เจ้ามีอะไรก็พูดมา พูดเสร็จแล้วก็รีบกลับออกไปเสีย
โจวเสาจิ่นเป็นคนละเอียดอ่อนยิ่งนัก ไหนเลยจะไม่เข้าใจถึงท่าทีของเขา
นางรู้สึกเสียใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อได้ครุ่นคิดดูแล้วความเสียใจก็บรรเทาลง
เดิมทีท่านน้าฉือกับนางไม่มีอะไรให้ต้องข้องเกี่ยวกัน หากไม่ใช่ว่าท่านน้าฉือมีน้ำใจช่วยเหลือนางเอาไว้ครั้งหนึ่ง นางก็คงจะไม่ได้รู้จักกับท่านน้าฉือ การที่นางมาหาเขาอย่างขาดความไตร่ตรองเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นนาง นางก็คงจะรู้สึกรำคาญใจอยู่บ้างเหมือนกัน
แต่โจวเสาจิ่นก็ค่อนข้างจะดื้อดึงอยู่บ้างเล็กน้อย รู้สึกว่าในเมื่อตนได้มานั่งอยู่ต่อหน้าเฉิงฉือแล้ว จึงไม่ควรจากไปอย่างครึ่งๆ กลางๆ ถึงจะถูก จะดีจะร้าย หากไม่ลงมือทำ ก็จะไม่มีโอกาสได้รู้ไปตลอด
นางพยายามยิ้มน้อยๆ ให้ตัวเองดูเป็นธรรมชาติและสบายๆ แต่กลับไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มที่มีความละอายปนอยู่หลายส่วนและแววตาที่เผยความกระวนกระวายออกมาของนางเหล่านั้นเมื่อตกอยู่ในสายตาของเฉิงฉือแล้วมันกลับชัดเจนเป็นอย่างมาก
ไม่ใช่ว่าเด็กสาวไม่เข้าใจ แต่คงเพราะมีเรื่องต้องการมาขอร้องเขากระมัง
เฉิงฉือครุ่นคิด
เป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นครั้งแรกที่มาขอร้องผู้อื่นเช่นนี้ ดังนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าเขากำลังขับไล่นางอยู่ แต่กลับยังทำใจดีเข้าสู้แสร้งทำเป็นไม่รู้
ขณะที่มองใบหน้าที่อ่อนหวานงดงามทว่ายังอ่อนเยาว์และไร้ประสบการณ์ของโจวเสาจิ่นอยู่นั้น เขาพลันนึกถึงตอนที่ตัวเองออกเดินทางไกลเป็นครั้งแรกขึ้นมา
ตอนนั้นเผชิญกับฝนตกหนักในช่วงหนาวจัดของฤดูหนาว เขายืนกรานที่จะลุยฝนต่อไป ปรากฏว่าฉินจื่อหนิงเปียกโชกจนจับไข้ ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะหาบ้านของผู้ใหญ่บ้านได้สักหลังหนึ่ง ปรารถนาจะขออาศัยด้วยหนึ่งคืน ปรากฏว่าเมื่อผู้อื่นเห็นว่าฉินจื่อหนิงจับไข้ร้ายแรงนัก กลัวว่าฉินจื่อหนิงจะเป็นตัวโชคร้ายและเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน อย่างไรก็ไม่ยินยอมให้พักอยู่ด้วย เขาพยายามกล่าวโน้มน้าวทุกวิถีทาง ผู้ใหญ่บ้านผู้นั้นถึงได้ยินยอมให้พวกเขาพักอยู่ในห้องเก็บฟืนได้หนึ่งคืน…นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาขอร้องคนอื่น นอกจากความโกรธแล้ว ยังมีความอับอายปนอยู่ด้วยสายหนึ่ง
เด็กสาวจะมีเรื่องอะไรมาขอร้องเขากัน?
ก็คงจะเป็นเพียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงประเภท เจ้าชอบข้า แต่ข้าชอบเขา พวกนั้นกระมัง
เห็นแก่ที่นางถึงกับมีความกล้ามาหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ เช่นนั้นตนก็จะลองช่วยนางดูสักหน่อยก็แล้วกัน!
อย่างไรเสียสำหรับตนแล้วก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ดั่งกระดิกนิ้วมือเท่านั้น
หากเรื่องวุ่นวายพวกนี้ได้รับการแก้ไข นางก็คงจะไม่มาหาตนอีก
ขณะที่เฉิงฉือครุ่นคิด ก็ชี้ไปที่เก้าอี้มีเท้าแขนที่อยู่ถัดลงไปจากของตนยิ้มๆ พลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องเฉิงเซียงชิงใช่หรือไม่ ไม่ใช่ว่าเขาเดินทางไปที่สำนักศึกษาเย่ว์ลู่แล้วหรือ”
เฉิงเซียงชิง…เฉิงลู่น่ะหรือ!
ตนมาหาท่านน้าฉือ แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย
โจวเสาจิ่นกระพริบตาปริบๆ กว่าครู่ใหญ่ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ
นางใจเต้นตึกตัก กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้เป็นท่านน้าฉือยื่นมือเข้าไปจัดการหรือเจ้าคะ”
“เปล่า” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เป็นความคิดของฮูหยินหยวน นางเป็นคนออกเงินและติดต่อสำนักศึกษาให้”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
ใจของโจวเสาจิ่นสงบลงมา
เฉิงฉือกลับกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อทางด้านของเฉิงเซียงชิงไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เช่นนั้นเจ้ามาด้วยเรื่องของเฉิงเจียซ่านหรือ”
เหตุใดเขาถึงกล่าวเช่นนี้
ดวงตาของโจวเสาจิ่นเบิกกว้าง กล่าวขึ้นว่า “เรื่องของพี่ชายสวี่ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วยหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าเฉิงเจียซ่านกลับมาแล้ว”
“รู้เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าเพิ่งจะทราบ เขาไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ามาแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือไม่เข้าใจเล็กน้อย
ในใจของโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าหมอง
เฉิงสวี่มักจะเข้ามาเกาะแกะนาง คิดว่าต้องมีสักวันที่เขาจะทำให้นางสนใจเขาได้…
หรือว่าท่านน้าฉือเองก็คิดว่านางกับเฉิงสวี่มีเรื่องผิดใจกันอยู่
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ นางก็ปลอบใจตัวเองอีกครั้ง
เฉิงเจียซ่านมาจากตระกูลมีชื่อเสียง เป็นชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ ยังมีชื่อเสียงติดตัวเป็นถึงอั้นโส่วผู้หนึ่ง อาชีพในเส้นทางราชสำนักก็ดูสดใส เป็นบุตรเขยผู้มั่งคั่งที่ตระกูลมีชื่อเสียงเก่าแก่มากมายต่างจับจ้องอยากได้มาเป็นบุตรเขย แต่กลับยอมลดตัวเล็กลงต่อหน้านาง การที่ท่านน้าฉือจะเข้าใจผิดคิดว่านางประทับใจในตัวเฉิงสวี่ ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญของคนที่เข้าใจได้
โจวเสาจิ่นนึกถึงครั้งแรกที่ตนได้พบกับเฉิงฉือ ก็เป็นการเจอเพื่อซ่อนตัวจากเฉิงสวี่
เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมาท่านน้าฉือล้วนเข้าใจว่านางกำลังเล่นกลหลอกให้ตายใจอยู่ตรงกลางระหว่างเฉิงลู่กับเฉิงสวี่?
ไม่เช่นนั้นเพียงเขาเปิดปากพูดก็ถามถึงเฉิงลู่ และต่อมาก็ถามถึงเฉิงสวี่ขึ้นมาได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
นางทั้งไม่อยากแต่งกับเฉิงสวี่และไม่อยากแต่งกับเฉิงลู่…แล้วเหตุใดทุกคนถึงไม่เชื่อนาง!
เฉิงฉือมองขอบตาที่อยู่ๆ ก็แดงขึ้นมาของเด็กสาวแล้ว รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
เขาไม่ได้พูดอะไรเลย เหตุใดอยู่ๆ ก็ร้องไห้ขึ้นมาเล่า
“ในเมื่อไม่ใช่มาด้วยเรื่องของเฉิงเจียซ่าน เช่นนั้นเจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไรกันแน่” เฉิงฉือกล่าวอย่างเคร่งขรึม
โจวเสาจิ่นตกใจ
หากท่านน้าฉือเข้าใจว่านางกับเฉิงสวี่มีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกันจริงๆ ขึ้นมา เช่นนั้นต้องแย่แน่ๆ แล้ว!
ความน่าเกรงขามของท่านน้าฉือ นางเคยประสบพบเจอมาก่อนแล้ว
เรื่องไฟไหม้ที่จวนห้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น แต่พอเขาบอกว่าจัดการได้ก็จัดการได้จริงๆ หลังจากที่เกิดเรื่องแล้วก็ไม่มีร่องรอยอะไรเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน