เฉิงฉือมองโต๊ะที่ว่างเปล่า หัวเราะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ส่วนโจวเสาจิ่นตรงเข้าไปที่ห้องน้ำชา ใบหูยังคงร้อนฉ่า
หวังว่าอีกประเดี๋ยวตอนที่นางเข้าไปอีกครั้ง ท่านน้าฉือจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย
โจวเสาจิ่นเดินไปยังหน้าเตาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำไปทั้งหน้า โดยไม่ได้สังเกตเห็นชิงเฟิงและหลั่งเย่ว์ที่นั่งกินถั่วปากอ้าทอดอยู่ตรงมุมห้อง
เมื่อชิงเฟิงและหลั่งเย่ว์เห็นโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองคนอดไม่ได้แลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นแดงก่ำ แค่มองก็รู้ได้ว่าผ่านการร้องไห้มา
หลั่งเย่ว์ใช้ศอกกระทุ้งชิงเฟิง
ชิงเฟิงโอดครวญเสียงเย็นเบาๆ เสียงหนึ่ง แล้วหันหน้าหนี
หลั่งเย่ว์ไม่มีทางเลือก ยิ้มออกมาอย่างอับจนหนทาง พลางล้วงถั่วปากอ้าทอดออกมาจากกระเป๋ายื่นไปตรงหน้าโจวเสาจิ่น
“คุณหนูรอง” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส “ถั่วขอรับ”
โจวเสาจิ่นนั้นคุ้นเคยกับอาหารสดใหม่ที่มีรสอ่อน อาหารเช่นถั่วปากอ้าทอดนี้ โดยปกตินางจะไม่ทาน แต่นางยังคงกล่าวขอบคุณยิ้มๆ พลางรับถั่วปากอ้าทอดนั้นมาเก็บไว้ในกระเป๋า แล้วนางก็เห็นชิงเฟิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กตรงมุมกำแพง
นางหันไปยิ้มพลางพยักหน้าให้ชิงเฟิง
ชิงเฟิงกลับแสดงสีหน้าเรียบเฉย
โจวเสาจิ่นเองก็คร้านจะใส่ใจเขาอีก ยกกาต้มน้ำไปเติมน้ำ
หลั่งเย่ว์รีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ให้ข้าช่วยขอรับๆ”
“ไม่เป็นไร” โจวเสาจิ่นปฏิเสธยิ้มๆ
ตอนนี้นางจำต้องทำอะไรสักหน่อยเพื่อให้ตัวเองลืมเรื่องน่าอับอายเมื่อครู่นี้
โจวเสาจิ่นเติมน้ำเสร็จแล้ว ก็นำกาต้มน้ำไปวางลงบนเตา หยิบพัดผูซ่านที่อยู่ใกล้มือขึ้นมา จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กด้านหน้าเตาแล้วพัดเตาให้มีลมตีขึ้นมา
“คุณหนูรอง ให้ข้าช่วยเถิดขอรับ!” หลั่งเย่ว์ไปหยิบพัดผูซ่านที่อยู่ในมือของโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “นายท่านสี่ของพวกข้าเข้มงวดยิ่งนัก จะชงชาก็ต้องเป็นผู้ที่มีหน้าที่ชงชา จะต้มน้ำก็ต้องเป็นผู้ที่มีหน้าที่ต้มน้ำ ท่านอย่าได้เกรงใจข้าเลยขอรับ หากว่าขี้เถ้ากระเด็นขึ้นมาทำให้มือของท่านสกปรกจะทำอย่างไร ท่านไปนั่งรออยู่ข้างๆ ประเดี๋ยวข้าต้มน้ำเสร็จแล้วจะเรียกท่านก็แล้วกันขอรับ!”
“อย่างนั้นหรือ” โจวเสาจิ่นลังเลเล็กน้อย
ครั้งก่อนตอนที่นางเจอท่านน้าฉือที่ศาลาซานจือนั้น ดูเหมือนว่าเป็นนางที่เป็นคนต้มน้ำ และเป็นนางที่เป็นคนชงชา…ซึ่งท่านน้าฉือก็ไม่ว่าอะไรเลยนี่นา!
หรือว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อช่วยเหลือนางอย่างนั้นหรือ
ขณะที่นางครุ่นคิดอยู่นั้น ก็พบว่าในเตามีขี้เถ้าสีขาวเล็กๆ ปลิวออกมาและร่วงลงบนมือของนาง ดังนั้นนางจึงยื่นพัดผูซ่านให้หลั่งเย่ว์
หลั่งเย่ว์ยิ้มพลางชี้ไปที่อ่างทองแดงใบหนึ่งที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองไปล้างมือเถิดขอรับ! ตรงนั้นมีเก้าอี้เล็กๆ อยู่ตัวหนึ่ง เวลาที่พี่สาวหนานผิงดื่มชาจะชอบทานของทานเล่นควบคู่ไปด้วย ในลิ้นชักโต๊ะเมิ่นฮู่ทางด้านนั้นมีบ๊วยและลูกมะกอกน้ำแห้งต่างๆ อยู่ ท่านอย่าได้เกรงใจ หากชื่นชอบก็หยิบทานได้ ประเดี๋ยวข้าต้มน้ำเสร็จแล้ว ค่อยเรียกท่านมาชงชานะขอรับ” กล่าวจบก็ตะโกนเรียก “ชิงเฟิง” และกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปหยิบกล่องมาใบหนึ่ง ดูว่าคุณหนูรองชอบทานอะไรบ้าง จะได้ห่อไปด้วยสักกล่องหนึ่ง”
ชิงเฟิงหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากลิ้นชักโต๊ะเมิ่นฮู่ที่หลั่งเย่ว์พูดถึงตัวนั้นอย่างเงียบๆ ถามโจวเสาจิ่นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “คุณหนูรอง ท่านอยากทานอะไรบ้างขอรับ”
โจวเสาจิ่นไม่อยากทานอะไรทั้งนั้น นางหวังเพียงว่าเฉิงฉือจะลืมจะเรื่องเมื่อครู่นี้ไปเสีย
“พวกเจ้าอย่าใส่ใจข้าเลย” นางปฏิเสธไปอย่างสุภาพ “หากข้าอยากทานของทานเล่นอะไร จะบอกพวกเจ้าก็แล้วกัน”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น หนานผิงก็เดินเข้ามา
เส้นผมสีดำขลับของนางหวีขึ้นเป็นมวยกลางศีรษะหนึ่งมวย ปักเอาไว้ด้วยปิ่นหยกมรกต สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหูโจวสีเขียวน้ำทะเลตัวหนึ่ง ใบหน้าแต้มรอยยิ้ม เผยให้เห็นถึงความอ่อนโยนและใจดี
“คุณหนูรอง ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ” นางยิ้มพลางหันไปคารวะโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “ในนี้กลิ่นควันแรงนัก ท่านไปนั่งรอบนโถงทางเดินสักครู่เถิดเจ้าค่ะ! รอให้น้ำเดือดแล้วชิงเฟิงค่อยมาเรียกคุณหนูรองก็ยังไม่สาย”
โจวเสาจิ่นเห็นหนานผิงกล่าวอย่างจริงใจเช่นนั้น จึงไม่กล้ารั้นต่อไปอีก เดินออกจากห้องน้ำชาโดยมีหนานผิงเดินไปเป็นเพื่อนด้วย
หนานผิงเห็นเปลือกตาของนางแดงก่ำ แต่ใบหน้ากลับซีดเผือด ไม่เพียงไม่เห็นว่าน่าอาย ในทางตรงกันข้าม กลับมีลักษณะบางอย่างที่ดูน่ารักน่าทะนุถนอมและบอบบางราวกับไม่สามารถรับน้ำหนักของเสื้อผ้าเอาไว้ได้
นางลอบชื่นชมอย่างอดไม่ได้
คุณหนูรองจากจวนสี่ผู้นี้ช่างมีรูปโฉมที่งดงามจริงๆ
ไม่เพียงแต่งดงามเท่านั้น ดวงตาและหัวคิ้วระหว่างแสดงอากัปกิริยาต่างๆ ยังแฝงเอาไว้ด้วยลักษณะบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกเอ็นดูสงสารในความอ่อนโยนและละมุนละไมนั้น ดูเสมือนกับดอกไม้ที่เพียงใช้แรงสักหน่อยก็อาจจะถูกทำลายจนบอบช้ำและแตกหักลงได้ก็ไม่ปาน
ไม่แปลกใจเลยที่นางร้องไห้ขึ้นมา แต่นายท่านสี่ก็ไม่อาจจะตำหนิหรือเอ็ดตะโรใส่นาง
ไม่รู้ว่าในอนาคตบุตรชายบ้านใดจะมีวาสนาได้แต่งงานกับนาง
ความคิดเหล่านี้ก็เป็นเพียงความคิดที่วาบเข้ามาในหัวของหนานผิงและผ่านออกไปอย่างรวดเร็วก็เท่านั้น
นางยิ้มขณะที่แลกเปลี่ยนบทสนทนากับโจวเสาจิ่น “ช่วงนี้ท่านยังทำงานเย็บปักในยามว่างอยู่หรือไม่เจ้าคะ ตอนที่ข้าไปหาเมื่อคราวก่อน ข้าเห็นท่านกำลังทำกระโปรงของสตรีอยู่ตัวหนึ่ง หากข้าไม่ได้มองผิดไป ดูเหมือนกับว่าจะเป็นกระโปรงจีบเย่ว์หวาตัวหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าฝีมือเย็บปักของคุณหนูรองจะดีขนาดนี้ แม้แต่กระโปรงจีบเย่ว์หวาก็ทำเป็นด้วย”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “พอดูได้เท่านั้น เทียบไม่ได้กับฝีมืออันเชี่ยวชาญของบรรดาซือฟูที่โรงตัดเย็บ”
“พวกนางเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ความสามารถแลกข้าวดำรงชีพ” หนานผิงกล่าวยิ้มๆ “หากฝีมือแย่กว่าพวกเรา เช่นนั้นก็คงแย่แล้วเจ้าค่ะ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น หลั่งเย่ว์ก็ยื่นหน้าออกมา “คุณหนูรอง ชาชงเสร็จแล้วขอรับ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเอ่ยขานรับไปเสียงหนึ่ง ไปหยิบน้ำชาที่ห้องน้ำชา จากนั้นกล่าวกับหนานผิงว่า “อีกประเดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกันใหม่”
หนานผิงยิ้มพลางมองตามหลังโจวเสาจิ่นที่เดินเข้าห้องโถงไป
ไหวซานที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใดเอ่ยถามเสียงเบาว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไร” หนานผิงกล่าวยิ้มๆ “ข้าดูแล้วคุณหนูรองตระกูลโจวเป็นผู้รู้ความยิ่งนัก…”



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน