เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 115

สายตาที่แผดเผายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ในฤดูคิมหันต์ของเฉิงฉือตกอยู่บนมือของโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นชักมือกลับเข้าไปในแขนเสื้ออย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อนางคิดทบทวนดูแล้วก็คิดได้ว่า เฉิงฉือกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ก็เพื่อประโยชน์ของนาง นางจึงยืดหลังขึ้นตรงอีกครั้ง แล้วยื่นมือออกมา จากนั้นก็จับมือไว้แน่นตามที่เฉิงฉือแนะนำ ถามเสียงเบาว่า “อย่าง…อย่างนี้หรือเจ้าคะ”

“โดยรวมๆ ก็ประมาณนั้น” เฉิงฉือตอบ “ยามถึงฤดูหนาว เจ้าก็ปรับแขนเสื้อให้ยาวขึ้นสักหน่อย เช่นนี้จะทำให้คนอื่นสังเกตเห็นได้ยากยิ่งขึ้น” และกล่าวต่ออีกว่า “ท่วงท่าพวกนี้เจ้าต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดี เมื่อฝึกทำจนชินแล้วก็จะดูเป็นธรรมชาติ ครั้นท่าทางเป็นธรรมชาติแล้ว คนอื่นก็จะไม่สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของเจ้า”

โจวเสาจิ่นรับปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เฉิงฉือเอ่ยถามว่า “ส่วนเรื่องที่บิดาของเจ้าไปเล่นหมากรุกกับท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองนั้น บิดาของเจ้าเล่าให้เจ้าฟังหรือ เล่าตอนที่อยู่ด้วยกันตามลำพังหรือตอนที่ทุกคนในครอบครัวมานั่งคุยกันพร้อมหน้า?”

โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย

ถ้าหากนางตอบว่าบิดาเล่าให้นางฟังตามลำพัง ไม่รู้ท่านน้าฉือจะคิดว่าบิดาต้องการใช้นางเป็นตัวกลางส่งข่าวให้เขาหรือไม่ และจะทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าบิดากำลังยุแยงให้เขากับท่านผู้นำตระกูลจวนรองแตกแยกกันหรือไม่

อยู่ๆ เฉิงฉือก็ยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “หรือว่าเป็นเจ้าเองที่คิดอยากจะบอกข้า”

นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นเปล่งประกายแวววาว รีบตอบไปว่า “เป็นข้าเองที่อยากบอกท่านเจ้าค่ะ”

เช่นนี้ คงไม่ทำให้บิดาต้องเดือดร้อนแล้วกระมัง

เฉิงฉือหัวเราะดังลั่นขึ้นมา

เด็กสาวผู้นี้คงกลัวว่าจะทำให้บิดาเดือดร้อนกระมัง

อย่างไรก็ตาม หากไม่ใช่ความตั้งใจของโจวเจิ้น เขาจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าบุตรสาวได้อย่างไร

สายตาที่เขามองดูโจวเสาจิ่นดูอ่อนโยนขึ้นอยู่หลายส่วน

มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากด้านนอก

โจวเสาจิ่นมองไปตามเสียง

เห็นชิงเฟิงเดินเข้ามา แล้วรายงานผ่านม่านที่กั้นอยู่อย่างนอบน้อม “นายท่านสี่ คุณชายใหญ่มาเข้าพบขอรับ”

โจวเสาจิ่นเกือบจะกระโดดพรวดขึ้นมา

เฉิงสวี่…เขามาทำอะไรที่นี่

นางเหลือบมองไปที่เฉิงฉือ

ใบหน้าของเฉิงฉือสงบนิ่ง สั่งชิงเฟิงไปว่า “ให้เขาเข้ามาเถอะ!”

โจวเสาจิ่นถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เนื่องจากเฉิงสวี่เดินทางจากจวนไปครั้งหนึ่ง ยามจะออกไปก็ต้องมากล่าวลาผู้อาวุโส ยามกลับเข้ามาก็ต้องมาคารวะผู้อาวุโสอีกเช่นกัน เป็นวิถีปฏิบัติที่มีมาแต่เดิม เป็นนางเองที่ไม่ได้ขบคิดให้รอบด้าน ไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้ จึงไม่อาจไปกล่าวโทษเฉิงสวี่ได้

นางรีบลุกขึ้นมา กล่าวอย่างพรั่นพรึงว่า “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” เสียงเพิ่งจะสิ้นสุดลง ก็ฉุกคิดได้ว่าไม่ควรรีบออกไป หากว่านางออกจากเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยในตอนนี้ อาจจะบังเอิญพบกับเฉิงสวี่ก็เป็นได้ ด้วยนิสัยของเฉิงสวี่ ไม่แน่ว่าอาจจะรีบกล่าวทักทายเฉิงฉือสักสองสามประโยคพอเป็นพิธีแล้วก็เร่งไล่ตามออกมาก็เป็นได้…ไม่สู้นางรอให้เฉิงสวี่กลับไปก่อนแล้วค่อยออกไปยังจะดีเสียกว่า นางจึงรีบเปลี่ยนคำอีกครั้งโดยกล่าวขึ้นว่า “ท่านให้ข้าดื่มชาสักจอกในห้องน้ำชาของท่านแล้วค่อยกลับออกไปได้หรือไม่เจ้าคะ” กล่าวเสร็จ โจวเสาจิ่นก็มองเฉิงฉือด้วยสายตาเว้าวอน

เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย

แววตาของเด็กสาวแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อยราวกับสัตว์ตัวน้อยที่ถูกนายพรานไล่ต้อนจนจนมุม ดูหวาดกลัวและหมดหนทางสู้

ทำไมนางถึงต้องหวาดกลัวเฉิงสวี่ขนาดนี้ด้วย

นี่ไม่ใช่ความไม่ชอบหน้าหรือความเกลียดชังธรรมดา แต่เป็นความหวาดกลัวต่างหาก

เฉิงสวี่ลอบสงสัยอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่แสดงออกบนใบหน้า ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าไปเถอะ! ภายในห้องน้ำชายังมีน้ำชาเหลืออยู่ ดื่มชาสักจอก ทานขนมสักหน่อยแล้วค่อยกลับออกไปก็ยังไม่สาย”

โจวเสาจิ่นเหลือบตามองเขาด้วยความซาบซึ้งครั้งหนึ่ง หมุนกายแล้ววิ่งออกไป ทว่าขณะที่ผ้าม่านยังส่ายไปมาอยู่นั้น นางก็วิ่งกลับเข้ามาอีกครั้ง และเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำว่า “ท่านน้าฉือ ข้า ข้าขอ…” นางชี้ไปยังห้องทางซ้ายมือ “นั่งอยู่ที่นี่ได้หรือไม่เจ้าคะ”

หลังจากที่นางเข้ามาแล้วถึงได้สังเกตเห็นว่า ห้องฝั่งขวาเป็นห้องหนังสือห้องหนึ่ง บนโต๊ะเขียนหนังสือขนาดใหญ่มีสมุดและกระดาษเซวียนจื่อวางทับอยู่ ส่วนฝั่งซ้ายเป็นห้องนั่งเล่น จัดวางเพียงโต๊ะ เก้าอี้ โต๊ะจุดธูป และพวกเครื่องกระเบื้องล้ำค่าเอาไว้ อีกทั้งเฉิงฉือก็เดินออกมาจากห้องฝั่งขวา นางกลัวว่าในห้องหนังสือจะมีอะไรบางอย่างที่นางไม่ควรเห็น ดังนั้นจึงคิดจะหลบอยู่ในห้องนั่งเล่นฝั่งซ้ายแทน

ห้องน้ำชาของเรือนซิ่วฉี่อยู่ระหว่างห้องโถงสองห้อง

เฉิงฉือเดาว่านางอาจจะเห็นเฉิงสวี่เดินผ่านมา หากไปห้องน้ำชาก็จะถูกเฉิงสวี่พบเห็นเอาได้ จึงจำต้องหันหลังกลับมา

“ได้สิ!” เขายิ้มพลางตอบ แล้วถามนางว่า “อยากให้ข้าบอกสาวใช้ให้ยกน้ำชามาให้เจ้าหรือไม่”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะรัว

หากว่านางนั่งดื่มชาอย่างสบายอกสบายใจอยู่ที่นั่น ครั้นเฉิงสวี่เดินเข้ามาก็อาจจะเห็นนางได้ เช่นนั้นนางจะหวนกลับมาอีกเพื่ออะไร

เฉิงฉือไม่ได้รบเร้านาง

โจวเสาจิ่นเพิ่งจะหลบเข้าไปอยู่หลังผ้าม่านกั้นห้อง เฉิงสวี่ก็เดินเข้ามาแล้ว

เขาสวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหูโจวสีฟ้าครามลายเรียบๆ ตัวหนึ่ง และสวมรองเท้าสีดำทมิฬลายเมฆมงคล ท่าทางร่าเริงเบิกบาน ใบหน้าแต้มด้วยรอยยิ้ม

“ท่านอาสี่!” เขากล่าวทักทายเฉิงฉืออย่างร่าเริง ไม่รอให้เฉิงฉือเอ่ยตอบ ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และนั่งลงบนเก้าอี้ทางด้านขวาของเฉิงฉือ เป็นตำแหน่งที่โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ก่อนหน้า

เฉิงฉือพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย กล่าวขึ้นว่า “กลับมาแล้วหรือ ท่านอาจารย์ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังคงเขียนบทกลอนทุกวันอยู่หรือไม่”

“ยังคงเขียนอยู่ขอรับๆ” เฉิงสวี่กล่าวยิ้มๆ “ไม่เพียงเขียนบทกลอนเท่านั้น แต่ยังท่องบทกลอนของตู้หลี่ได้บทหนึ่งทุกวันอีกด้วยขอรับ” เห็นได้ว่า ท่านอาจารย์ของเฉิงสวี่ไม่เพียงรู้จักเฉิงสวี่เท่านั้น แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ยังดีมากอีกด้วย

จากนั้นเฉิงสวี่ก็ยิ้มพลางเริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ ของตนขณะที่อาศัยอยู่หังโจวขึ้นมา “ร้านอู๋ฟางไจนั้น ตอนเด็กๆ เคยไปกับท่านแม่ครั้งหนึ่ง ภายในร้านไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ข้าเข้าไปซื้อขนมจำพวกขนมถั่วมันฮ่อและขนมเปี๊ยะไส้ผักดอง นำกลับมามอบให้ท่านย่าและท่านขอรับ…นอกจากนี้บุตรชายของท่านอาจารย์ยังไปเที่ยวทะเลสาบซีหูเป็นเพื่อนข้าด้วย และได้พบกับหมิ่นเจี้ยนเฉียงจากตระกูลหมิ่นแห่งฝูเจี้ยนกับสหายอีกสองสามคน” เขากล่าวพลางแสดงท่าทางตื่นเต้นขึ้นมา กล่าวอีกว่า “เขาเป็นน้องชายร่วมมารดาของหมิ่นเจี้ยนสิงที่ได้รับตำแหน่งจ้วงหยวนในปีเดียวกับท่าน อายุมากกว่าข้าสิบปี ปีที่แล้วเขาสอบผ่านได้ดำรงยศเป็นจวี่เหริน เขาติดตามพี่ชายร่วมเทียดมาเที่ยวชมเมืองหังโจว พี่เขยของพี่ชายร่วมเทียดของเขาผู้นั้นเป็นรองเจ้าเมืองหังโจว พอเขาทราบว่าท่านกับพี่ชายของเขาเป็นสหายร่วมสำนักกัน จึงต้อนรับข้าอย่างกระตือรือร้นยิ่งนัก ทั้งยังให้ที่อยู่เอาไว้ด้วย ให้ข้าไปเที่ยวหาเขาที่ฝูเจี้ยนยามที่มีเวลาว่าง ในอีกไม่กี่วันเขาจะไปเจียซิ่ง เจ้าเมืองเจียซิ่งเป็นพี่ชายร่วมทวดอีกคนหนึ่งของเขา พวกเราได้นัดพบกันที่เจียซิ่งเอาไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาข้าจะเชิญเขามาเยี่ยมเยียนจวนขอรับ…

…สหายของเขาได้พาพวกเราไปภัตตาคารแห่งหนึ่งข้างทะเลสาบซีหู แม้ว่าภัตตาคารนั้นจะเล็ก แต่กลับทำไก่ยัดไส้ห่อใบบัวและฟองเต้าหู้ยัดไส้ทอดกรอบได้อร่อยยิ่งนัก ชื่อภัตตาคารว่า ‘จวี้อิงฮุ่ย’ หากวันใดที่ท่านไปหังโจว ก็ลองไปชิมสักครั้งนะขอรับ…”

ขนมถั่วมันฮ่อและขนมเปี๊ยะไส้ผักดองเหล่านั้น สำหรับโจวเสาจิ่นแล้ว ล้วนเปรียบเสมือนกับสายลมแผ่วเบาที่พัดผ่านหู ทว่า ‘ตระกูลหมิ่นแห่งฝูเจี้ยน’ หกคำนี้กลับตกอยู่ในใจของโจวเสาจิ่นอย่างหนักอึ้ง

แม้นชะตาพลิกเปลี่ยน ตระกูลหมิ่นแห่งฝูเจี้ยนก็ยังคงปรากฏอยู่เช่นเดิม

ในชาติก่อน มีช่วงเวลาหนึ่งที่นางขบคิดอยู่บ่อยๆ ว่า เด็กสาวที่เดิมทีต้องแต่งงานกับเฉิงสวี่ผู้เป็นผู้ใดกัน มีคุณสมบัติดีเลิศขนาดนั้นเลยหรือ กระทั่งทำให้หยวนซื่อยอมสู้รบตบมือกับนางจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายและไม่ยอมรับนางเป็นสะใภ้

ตอนที่ 115 พุ่งเข้าหา 1

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน