เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียง โจวเสาจิ่นก็เรียกฝานฉีเข้ามา
“ข้ามีเรื่องเร่งด่วนให้เจ้าทำ!” นางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แต่เรื่องนี้เจ้าห้ามบอกใครเป็นอันขาด แม้แต่มารดาของเจ้าก็บอกไม่ได้ นอกจากนี้ยังเป็นธุระที่ต้องออกเดินทางไปไกล หากว่าทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้าไม่เพียงจะตกรางวัลให้เจ้าเป็นเงินสองร้อยเหลี่ยงเงินเท่านั้น แต่ยังจะมอบที่นาทำเลดีแก่เจ้าอีกสิบหมู่ด้วย เจ้ากล้าไปหรือไม่”
โจวเสาจิ่นเองก็เคยคิดจะเพิ่มเงินรางวัลให้สูงขึ้น แต่กลัวว่าหากรางวัลมีค่าสูงเกินไปจะให้ทำให้ฝานฉีตกใจกลัว แม้นเป็นเช่นนี้ ฝานฉีก็ยังมองนางอย่างตกตะลึงจนตาค้าง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้
สองร้อยเหลี่ยงเงิน เพียงพอให้เขาเลี้ยงดูมารดารจนถึงวาระสุดท้าย ที่นาทำเลดีสิบหมู่ ก็เพียงพอให้เขาได้กินอิ่มนอนอุ่นโดยไม่ต้องกังวลไปทั้งชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็เป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลโจว การทำงานรับใช้คุณหนูรองเป็นหน้าที่ของเขา…เขาจึงตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า “จะทำตามคำสั่งของคุณหนูรองทุกอย่างขอรับ”
โจวเสาจิ่นผ่อนลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
โชคดีที่ฝานฉีตอบตกลง ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่รู้จะส่งใครไปจัดการธุระเรื่องนี้ให้แล้วจริงๆ
นางบอกให้ฝานฉีปิดประตู แล้วกระซิบกับเขาว่า “ข้าอยากให้เจ้าไปเมืองจิงเฉิงสักครั้งหนึ่ง ทางด้านคุณหนูใหญ่ ข้าจะบอกว่าเจ้ามีธุระต้องกลับไปทำที่บ้านเกิด ส่วนทางด้านฝานมามา เจ้าพอจะหาข้ออ้างดีๆ ได้บ้างหรือไม่”
ฝานฉีอายุยังน้อย ทั้งยังไม่มีหน้าที่การงานที่สลักสำคัญอะไร หากไม่อยู่ในจวนสักระยะหนึ่ง ย่อมไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจมากนัก
ฝานฉีไม่นึกไม่ฝันว่าโจวเสาจิ่นจะให้เขาเดินทางไปเมืองจิงเฉิง เขาทั้งตื่นเต้นและตั้งตารอคอย รีบตอบไปว่า “บอกไปว่าท่านอยากจะซื้อที่นาสักผืน จึงให้ข้ากลับไปสอบถามที่บ้านเกิดดูสักหน่อยดีหรือไม่ขอรับ”
“ข้ออ้างนี้ดี” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “ถึงเวลานั้นข้าจะลงนามที่นาในชื่อของเจ้า ท่านพี่จะได้ไม่สงสัย” จากนั้นก็กล่าวชมเขาว่า “สมองของเจ้าช่างปราดเปรื่องจริงๆ!”
ฝานฉีหัวเราะอย่างเบิกบาน
โจวเสาจิ่นกล่าวว่า “ข้าจะไหว้วานให้คนคุ้มกันเจ้าไปตลอดทางจนถึงเมืองจิงเฉิง แต่มีเรื่องต้องระวังอยู่ข้อหนึ่ง เจ้าห้ามให้ผู้ที่คุ้มกันเจ้าไปจนถึงเมืองหลวงเหล่านั้นรู้ว่าเจ้าจะไปทำอะไรเป็นอันขาด เมื่อเจ้าไปถึงเมืองจิงเฉิงแล้ว ให้ไปที่ถนนซุ่ยอี้ ซอยซ่างซู เดินจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกจะเป็นเรือนหลังที่สาม…แซ่มู่ นายท่านของตระกูลดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการอยู่ที่กรมพิธีการ มีบุตรสาวสามคนและบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวคนโตหมั้นหมายกับบุตรชายคนโตของตระกูลหลินที่ซอยหนึ่งของถนนซุ่ยเหริน เจ้าไปสืบดูว่า ตอนนี้สถานการณ์ของตระกูลมู่กับตระกูลหลินเป็นอย่างไรบ้าง จากนั้น…ให้คิดหาวิธีเสาะหานักพรตเต๋าที่ออกธุดงค์หรือนักบวชที่มาค้างแรมอยู่ที่วัดให้ได้ผู้หนึ่ง ให้บอกว่ายามที่บุตรสาวคนโตของตระกูลมู่อายุครบสิบเจ็ดปีจะมีเคราะห์ร้าย นำความวิบัติมาสู่บุพการีและน้องชายน้องสาว หากว่าออกเรือนก่อนอายุสิบเจ็ดปี ไม่เพียงแต่ตระกูลมู่จะพลิกเปลี่ยนจากเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดีแล้ว ตระกูลของสามีก็จะเจริญรุ่งเรืองมีบุตรเต็มบ้านหลานเต็มเมืองอีกด้วย”
แม้ว่าหลินซื่อเซิ่งจะเป็นลูกโทน แต่วงศ์ตระกูลก็ไม่ได้ขาดศีลธรรมอันดีแต่อย่างใด หากไม่ใช่เพราะนางเห็นด้วยตั้งแต่แรก หลังจากที่แต่งงานกันแล้วไม่มีบุตร หลินซื่อเซิ่งยังติดสินบนหมอพเนจรผู้หนึ่งให้มาจับชีพจรของนาง และกล่าวคำสาบานว่านางไม่อาจตั้งครรภ์มีบุตรได้แล้วล่ะก็ ตระกูลหลินก็คงจะไม่ยินยอมให้หลินซื่อเซิ่งรับอนุเข้ามาเป็นอันขาด
ตอนนี้นางจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมาเพื่อทำให้ตระกูลมู่ยกบุตรสาวให้แต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งให้เร็วขึ้นอีกสักหน่อย เช่นนี้ก็ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณกันแล้ว
ทว่าฝานฉีได้ยินแล้วกลับตกใจจนอ้าปากกว้างตาค้าง ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ปกตินัก
ฟังจากน้ำเสียงของคุณหนูรองแล้ว ก็คล้ายว่าต้องการช่วยเหลือคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ หากเรื่องนี้เป็นเรื่องดี เหตุใดคุณหนูรองถึงต้องลอบกระทำอย่างลับๆ ล่อๆ ด้วยเล่า หรือว่าเรื่องนี้ยังมีวัตถุประสงค์อื่นที่เขาไม่รู้อีกกันแน่ เขาเต็มใจวิ่งเต้นทำธุระให้คุณหนูรองเป็นอย่างมาก แต่หากว่าคุณหนูรองต้องการลอบทำร้ายผู้อื่น เช่นนั้น…อย่างไรเขาก็ต้องห้ามปราม!
“ทะ…ทำเรื่องเช่นนี้จะดีหรือขอรับ” ฝานฉีกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “คงไม่ใช่เป็นเพราะคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ผู้นั้นมีอะไรที่ไม่เหมาะสมใช่หรือไม่ขอรับ”
“คุณหนูใหญ่ของตระกูลมู่นั้นดียิ่ง มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าเพียงแค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”
ต่อให้ตระกูลมู่กับตระกูลหลินเคลือบแคลงสงสัย รอให้เกิดเหตุการณ์ทุจริตการสอบขุนนางในปีวู่ซวีเสียก่อน ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะไม่เคลือบแคลงสงสัยอีกเลย
ในชาติก่อน โจวเสาจิ่นกับมู่อี๋เหนียงเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว
มู่อี๋เหนียงปรารถนาจะล้างมลทินจากการถูกใส่ร้ายป้ายสีให้บิดาอยู่เสมอ
ตามคำบอกเล่าของนาง บิดาของนางต้องถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรมโดยสิ้นเชิง
หัวหน้าผู้รับผิดชอบการสอบและรองหัวหน้าผู้รับผิดชอบการสอบในปีนั้นเป็นผู้เปิดเผยข้อสอบออกไป แต่สุดท้ายกลับผลักบทลงโทษมาให้เจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการแทน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ขอเพียงแค่มู่อี๋เหนียงแต่งงานเข้าตระกูลหลินแล้ว คดีของตระกูลมู่ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับนางอีกต่อไป ด้วยความสามารถและเส้นสายของหลินซื่อเซิ่ง ย่อมใช้เงินไถ่ตัวมารดาของมู่อี๋เหนียงและน้องสาวทั้งสองคนกับน้องชายออกมาได้โดยอาศัยสถานะความเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน
โจวเสาจิ่นกำชับฝานฉีอย่างละเอียดว่า “เจ้าให้ผู้ที่ไปส่งเจ้าพาเจ้าไปที่โรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลที่อยู่ใกล้ๆ กับประตูเฉาหยาง เจ้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมสักสองวันก่อน คอยเดินไปสอดส่องดูลาดเลาในละแวกนั้นให้ทั่ว และฉวยโอกาสนี้ลอบสืบหาที่อยู่ของตระกูลมู่กับตระกูลหลินให้แน่ชัด จากนั้นค่อยหาทางย้ายไปที่โรงเตี๊ยมเกาเซิงที่อยู่ใกล้กับซอยหนึ่งของถนนซุ่ยเหริน ไม่ไกลจากที่นั่น มีอารามซ่างชิงอยู่แห่งหนึ่ง…แม้ว่าอารามแห่งนั้นค่อนข้างเล็ก แต่มักจะมีนักพรตเต๋าจากเขาอู่ไถและเขาจิ่วหวามาพักค้างแรมอยู่ที่นั่นเสมอ…ข้าจะมอบตั๋วเงินห้าร้อยเหลี่ยงให้เจ้าพกติดตัวไปด้วย…ไปหานักบวชที่เป็นนักต้มตุ๋นหลอกลวงประเภทนั้นมาสักคนหนึ่ง แล้วกุเรื่องขึ้นมาเรื่องหนึ่งว่าใต้เท้ามู่พรากรักนกยวนยาง[1] ทำให้ผู้อื่นคิดว่าเป็นตระกูลหลินที่จ้างคนมาสร้างข่าวนี้…เจ้าอย่าได้เป็นกังวลเรื่องเงินทอง ขอเพียงเจ้าทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ก็ถือว่าคุ้มค่ากับเงินทุกเหลี่ยงแล้ว”
ฝานฉีพยักหน้าไม่หยุด ทว่าความฉงนสนเท่ห์ในใจกลับทบทวีมากขึ้น
คุณหนูรอง คงไม่เคยไปเมืองจิงเฉิงหรอกกระมัง
แต่นางกลับคุ้นเคยกับเมืองจิงเฉิงมากขนาดนั้น รู้กระทั่งว่าใกล้ๆ กับเรือนตระกูลมู่มีภัตตาคารอะไร ใกล้ๆ กับเรือนตระกูลหลินมีโรงเตี๊ยมอะไร…
เขาอดถามไม่ได้ว่า “คุณหนูรองขอรับ ท่านรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรหรือ ตระกูลมู่เกี่ยวดองกับท่านหรือไม่ก็ตระกูลหลินเกี่ยวดองกับท่านใช่หรือไม่ และนี่ท่านกำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่ใช่หรือไม่ขอรับ”
โจวเสาจิ่นผงะเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ตระกูลหลินกับตระกูลมู่ทั้งสองตระกูลนี้ล้วนเป็นญาติเกี่ยวดองกับข้า เป็นญาติฝั่งมารดาของข้า…”
น้ำเสียงของนางคลุมเครือ ทว่าฝานฉีพลันกระจ่างขึ้นมา รีบกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้วๆ สาบานว่าจะไม่บอกผู้ใดทั้งสิ้นขอรับ”
โจวเสาจิ่นไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะรักษาคำพูดที่ว่าจะไม่บอกผู้ใดไปได้ตลอดชีวิต แต่ขอเพียงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจสักสองสามปี รอให้มู่อี๋เหนียงแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งเรียบร้อยแล้ว เขาจะหลุดปากออกไปหรือไม่ก็ถือว่าไม่เป็นไรแล้ว
อย่างไรเสียเรื่องที่นางต้องทำก็ถือว่าได้ทำจนสำเร็จแล้ว
โจวเสาจิ่นนำตั๋วเงินที่ตระเตรียมเอาไว้ก่อนหน้าใส่ในถุงเงินถุงหนึ่งแล้วมอบให้ฝานฉี “เจ้าคิดหาวิธีแบ่งเก็บเอาไว้ให้ดี คาดว่าภายในสองสามวันนี้จะมีคนพาเจ้าไปส่งที่เมืองจิงเฉิง”
ฝานฉีเก็บถุงเงินเอาไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องหนังสือไป
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ในห้องหนังสือ คิดทบทวนถึงเรื่องที่พูดกับฝานฉีอย่างละเอียดอยู่นาน เมื่อคิดว่าไม่มีช่องโหว่ขนาดใหญ่ใดๆ แล้ว จึงผ่อนลมหายใจครั้งหนึ่ง แล้วไปที่ห้องนั่งเล่น
ระยะนี้ภายในห้องนั่งเล่นของนาง ด้านซ้ายมือวางโต๊ะเขียนหนังสือเอาไว้ตัวหนึ่ง ด้านขวามือวางโต๊ะสำหรับเย็บปักเสื้อผ้า บนที่แขวนเสื้อผ้าห่างไปไม่ไกลนักแขวนเอาไว้ด้วยผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าไหมจางโจว ผ้าฝ้าย ถุงหอมและพู่ลั่วจื่อสีม่วงเข้มแดงสว่างมากมาย ข้างๆ ยังวางสะดึงปักผ้าเอาไว้ ดูแล้วรกไม่เป็นระเบียบยิ่ง ทว่าก็ดูอบอุ่นเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นเตรียมจะปักผ้าโพกศีรษะสองผืนให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ในวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเมื่อคราวก่อน นางมอบผ้าโพกศีรษะสองผืนเป็นของขวัญวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตามคำแนะนำของฮูหยินผู้เฒ่ากวน ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ตอนที่นางนำมันไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าตรวจดูนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนลูบผ้าโพกศีรษะนั้นอยู่ครู่หนึ่งถึงจะวางลง เห็นได้ชัดว่าชื่นชอบยิ่งนัก



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน