ให้หลานทิงนำไข่มุกจากตะวันออกมาส่งให้พวกนางสองพี่น้องคงเป็นเรื่องหลอก แต่ต้องการยืมมือของพี่สาวช่วยจัดการหลานทิงต่างหากถึงจะเป็นเรื่องจริงกระมัง!
โจวเสาจิ่นนำไข่มุกจากตะวันออกที่บรรจุอยู่เต็มกล่องมาเทลงบนผ้านวมสีแดงสดลายนกตันเฟิ่ง[1]แหงนหน้าชมตะวัน
ไข่มุกจากตะวันออกขนาดเท่าเม็ดบัวกลมมนแวววาว เมื่อสะท้อนกับความเรืองแสงของผ้านวมสีสดใสแล้ว ทำให้ผู้คนลืมตาไม่ขึ้นเลยทีเดียว
โจวชูจิ่นนั่งลงข้างๆ เตียง จับไข่มุกมารวมๆ กันไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “โตขนาดนี้แล้ว ยังชอบเล่นของพวกนี้อยู่อีก ยังไม่รีบเก็บขึ้นมาอีก ระวังเถิดจะทำหล่นไปสักเม็ด แล้วทำให้ซือเซียงต้องลำบากหาเสียทั่วทุกที่”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า นำไข่มุกไปเก็บลงในกล่อง
โจวชูจิ่นถามนางว่า “เจ้าจะไม่ไปเจอหลานทิงกับข้าจริงๆ หรือ”
“ไม่ไปจริงๆ เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นใช้นิ้วเขี่ยไข่มุกในกล่องไปมาจนเกิดเสียงดัง ต๊อกแต๊ก พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีเรื่องอะไรท่านพี่คุยกับนางเสียก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ชาติก่อน หลี่ซื่อขายหลานทิงให้กับพ่อค้าที่ผ่านทางมาผู้หนึ่ง
ก่อนที่นางจะถูกขายออกไปนั้น คงมีลางสังหรณ์บางอย่าง ก็เลยเขียนจดหมายมาขอความช่วยเหลือจากพี่สาว
ทว่าพี่สาวกลับไม่ได้สนใจนาง
ในเวลานั้นโจวเสาจิ่นยังจัดการไม่ได้แม้แต่เรื่องของตัวเอง จึงไม่ทราบเรื่องนี้เลย จนกระทั่งตอนที่นางทราบเรื่อง ตอนนั้นโจวเจิ้นกับหลี่ซื่อก็หมางเมินใส่กันไปเรียบร้อยแล้ว
นางเคยถามพี่สาวว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
พี่สาวบอกนางว่า ท่านแม่ทิ้งนางเอาไว้เพื่อให้นางดูแลเจ้า ถึงแม้ต่อมาท่านยายรับพวกเรามาอยู่ด้วย แต่หลังจากที่ท่านพ่อไว้ทุกข์จนครบตามกำหนดแล้ว นางกลับติดตามไปอยู่กับท่านพ่อที่ไปรับราชการด้วย หากนางยังสำนึกในบุญคุณของท่านแม่ ตอนที่ท่านพ่ออยู่ในช่วงไว้ทุกข์นั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะตามพวกเราเข้ามาอยู่กับท่านยายด้วยถึงจะถูก
นางไม่รู้ว่าพี่สาวทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร
แต่นางเชื่อในตัวพี่สาว
ในเมื่อชาติก่อนหลานทิงยังไม่อาจตบตาพี่สาวได้ นางเชื่อว่าชาตินี้พี่สาวก็จะมองคนอย่างหลานทิงออกว่าเป็นคนเช่นไรได้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นกัน
โจวเสาจิ่นยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าให้ต้องทำ
ชาติก่อน นางแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งตอนอายุสิบหกปี ในเวลานั้นมีเรื่องเกิดขึ้นกับตระกูลมู่ได้หนึ่งปีแล้ว เมื่อคำนวณเวลาแล้ว อย่างมากที่สุดก็อีกสามปี ตระกูลของมู่อี๋เหนียงก็จะถูกล้มล้างและลบชื่อออกไป นอกจากนี้เวลาสามปีก็ผ่านไปไวเพียงกะพริบตาครั้งหนึ่งเท่านั้น โจวเสาจิ่นมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว แต่นางกลับยังไม่มีวิธีดีๆ ที่จะทำให้มู่อี๋เหนียงหลีกหนีจากหายนะนี้ไปได้
ดังนั้นเมื่อนางได้ยินจี๋อิ๋งกล่าวว่าบ้านเดิมของนางอยู่ที่ชังโจวนั้น นางก็ลอบมีแผนการอยู่ในใจ เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะหาโอกาสไปคุยกับจี๋อิ๋งเกี่ยวกับเรื่องนี้ จี๋อิ๋งก็ถูกท่านน้าฉือสั่งกักบริเวณไปเสียก่อน
ต้องคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ ให้ครบห้าร้อยจบเสียก่อนถึงจะพ้นจากการกักบริเวณ…เช่นนั้นต้องรอถึงเมื่อไรกันนะ
ยังมีทางด้านของท่านน้าฉืออีก นางเสียแรงเสียความพยายามไปตั้งมากกว่าจะได้พบเขา แต่เขานั้นบ้างก็ไม่ยอมให้พบ บ้างก็สนทนาได้เพียงไม่กี่ประโยคก็ไล่นางกลับแล้ว นางเคยคิดว่ายิ่งเข้าใจมากขึ้นก็จะยิ่งมีวิธีเข้าใกล้ท่านน้าฉือได้มากขึ้นตามไปด้วย แต่หลังจากที่นางเริ่มปะติดปะต่อและเข้าใจจากส่วนประกอบชิ้นเล็กชิ้นน้อยจริงๆ แล้วนั้น กลับพบว่าภายในใจยิ่งเกิดความสับสนมากยิ่งขึ้น
นางจะทำอย่างไรให้คำพูดของตนมีน้ำหนักยามพูดต่อหน้าท่านน้าฉือได้
โจวเสาจิ่นขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือ
ซือเซียงเป็นกังวลใจเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางกล่าวกับฝานหลิวซื่อว่า “นี่คุณหนูรองเป็นอะไรไปหรือ หลังจากที่นางลื่นล้มตั้งแต่เดือนสามเป็นต้นมา หากไม่ใช่ว่าทำงานเย็บปักอยู่ในห้องก็จะออกไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน นับเป็นครั้งแรกที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือเป็นเวลานานกว่าหลายชั่วยามเช่นนี้ ท่านคิดว่า ต้องส่งคนไปแจ้งคุณหนูใหญ่สักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
“ตอนนี้อย่าเพิ่งเลยดีกว่า” ฝานหลิวซื่อเองก็เป็นกังวลใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าพูดเองว่า คุณหนูรองไม่เป็นเช่นนี้มานานแล้ว เป็นไปได้ว่าคุณหนูรองเพียงอยากอยู่เงียบๆ ในห้องหนังสือเพื่อคิดอะไรเพียงลำพังบ้างเท่านั้นก็เป็นได้”
ซือเซียงและฝานหลิวซื่อชอบโจวเสาจิ่นในปัจจุบันมากกว่าในอดีต
ไม่ใช่ว่าโจวเสาจิ่นในอดีตไม่ดี เพียงแต่ว่าโจวเสาจิ่นในอดีตนั้นไม่ค่อยเจรจาพาที มีเรื่องอะไรก็ชอบเก็บไปคิดคนเดียวในใจ ไม่เหมือนกับโจวเสาจิ่นในปัจจุบัน ที่ไม่เพียงพูดคุยเล่นหัวกับพวกนางเท่านั้น ยังวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในเรือนได้ ทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นใจและใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
ซือเซียงสั่งให้สาวใช้เด็กผู้หนึ่งคอยเฝ้าอยู่หน้าประตู สั่งการเอาไว้ว่า “ถ้าคุณหนูรองออกมาให้เจ้ารีบไปเรียกข้าทันที”
สาวใช้เด็กจึงนั่งอยู่บนขั้นบันไดของห้องหนังสือโดยตลอด
กระทั่งถึงเวลาอาหารเที่ยงโจวเสาจิ่นถึงได้ออกมาจากห้องหนังสือเพื่อรับมื้อเที่ยง จากนั้นก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพังอีกครั้งเป็นเวลานาน ทำให้นางไปถึงเรือนหานปี้ซานช้ากว่าในยามปกติถึงสองเค่อ
ภายในเรือนหานปี้ซานเงียบเชียบ บรรดาสาวใช้ที่เฝ้าเวรยามอยู่ต่างยืนอยู่อย่างนอบน้อม แล้วก็มีเสียงหัวเราะเบิกบานดังออกมาจากทางด้านห้องรับแขก
ปี้อวี้กระซิบบอกนางว่า “เป็นคุณชายตระกูลหมิ่นจากฝูเจี้ยน สหายที่คุณชายใหญ่ไปทำความรู้จักเมื่อครั้งไปเยือนเมืองหังโจว เขามาเยี่ยมคุณชายใหญ่ และตั้งใจมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการเฉพาะเจ้าค่ะ”
คงจะเป็นหมิ่นเจี้ยนเฉียงผู้นั้น
โจวเสาจิ่นหมุนตัวกลับแล้วตรงไปที่ห้องพระเลย
ช่วงเย็น เฉิงสวี่จัดงานเลี้ยงต้อนรับหมิ่นเจี้ยนเฉียง และเป็นครั้งแรกที่ท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จากจวนรองมาปรากฏตัวที่งานเลี้ยงด้วย
โจวชูจิ่นถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ตระกูลหมิ่นจากฝูเจี้ยนมีอำนาจโดดเด่นมากเลยหรือ เหตุใดท่านผู้นำตระกูลถึงให้เกียรติคุณชายหมิ่นผู้นั้นมากขนาดนี้”
หมิ่นเจี้ยนเฉียงเป็นเพียงจวี่เหรินผู้หนึ่งเท่านั้น
แต่หากเฉิงซวี่มีเจตนาจะปูทางเชื่อมสะพานให้เฉิงสือแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น
โจวเสาจิ่นหัวเราะ
วันต่อมานางไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย
คนที่อยู่เฝ้าเวรยามอยู่คือชิงเฟิง
สีหน้าของชิงเฟิงยังคงไม่รับแขกเช่นเดิม แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้นางยืนแห้งเ**่ยวอยู่ตรงนั้นเหมือนครั้งที่แล้ว เขากล่าวเสียงเคร่งขรึมประโยคหนึ่งว่า “เชิญท่านรอสักครู่ขอรับ” แล้วก็หมุนกายเข้าไปรายงานให้นาง
ไม่นาน เขาก็กลับออกมา และมีหนานผิงออกมาพร้อมกับเขาด้วย
“คุณหนูรอง” สีหน้าของนางเปี่ยมด้วยความรู้สึกผิด “ต้องขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ! จี๋อิ๋งยังคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ ไม่เสร็จ จำต้องรบกวนให้ท่านเดินมาหาด้วยตัวเอง”
ตามหลักแล้ว ควรจะเป็นจี๋อิ๋งที่เป็นคนไปพบนางถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าตั้งใจมาเยี่ยมนาง จะได้มาดื่มชาที่ห้องของนางสักถ้วยด้วยพอดี”
หนานผิงไปส่งนางที่ห้องของจี๋อิ๋ง
จี๋อิ๋งต้อนรับโจวเสาจิ่นเข้าไปข้างในอย่างกระตือรือร้น ยกของกินเล่นมาต้อนรับนางด้วยตัวเอง ยังชี้ไปที่ขนมเปี๊ยะในกล่องใส่ขนมสีแดงลายดอกไห่ถัง พลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้าลองชิมดู ขนมของร้านหมี่จี้”
โจวเสาจิ่นตกตะลึง แล้วก็หัวเราะฮ่าออกมาเสียงดัง
จี๋อิ๋งเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน