โจวเสาจิ่นเขียนจดหมายให้บิดาหนึ่งฉบับด้วยความเดือดดาล ส่วนโจวชูจิ่นไปหาเฉิงเหมี่ยน
เฉิงเหมี่ยนฟังแล้วก็ตกตะลึงพรึงเพริดจนอ้าปากค้างไปเป็นเวลานาน ถามโจวชูจิ่นว่า “มีคำรับสารภาพหรือไม่”
โจวชูจิ่นกล่าว “พวกข้ายังไม่ได้ไปฟ้องร้องที่ศาลเจ้าค่ะ เพียงให้พวกนางลงลายมือชื่อเอาไว้ ไม่รู้ว่าจะถูกต้องตามระเบียบของทางการหรือไม่”
เฉิงเหมี่ยนหยิบร่างคำรับสารภาพที่ลงลายมือชื่อเอาไว้เรียบร้อยแล้วไปดู กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้พวกเจ้าอย่าเพิ่งเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ข้าจะไปศาลาว่าการเมืองจินหลิงดูสักครั้งหนึ่งก่อน”
โจวชูจิ่นขานรับอย่างหนักแน่นว่า “เจ้าค่ะ” แล้วกลับเรือนหว่านเซียง
ตกบ่ายเฉิงเหมี่ยนก็ให้คนนำตัวซินหลานกับหลานทิงไปส่งที่ศาลาว่าการเมืองจินหลิง
โจวเสาจิ่นโล่งใจไปครั้งหนึ่ง
นำคนส่งให้ศาลาว่าการเมืองแล้ว ไม่ว่าซินหลานและหลานทิงจะเป็นหรือจะตาย ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกนางทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นหากมีคดีฆาตกรรมติดอยู่ในมือของพี่สาว แล้วเกิดถูกเผยแพร่ออกไป ซึ่งไม่ว่าจะถูกหรือผิด พี่สาวก็คงจะหนีไม่พ้นจากข้อครหาที่ว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจชั่วร้ายและเ**้ยมโหด ก็เหมือนกับชาติก่อนที่หลี่ซื่อทำเรื่องเก็บบุตรขับไล่มารดา ถึงแม้จะเป็นไปตามขนบของสังคม แต่บิดาก็ยังรู้สึกว่านางเป็นคนโหดร้ายอำมหิต เรื่องเล็กน้อยระหว่างสามีภรรยาก็ค่อยๆ กลายเป็นรอยร้าว จากรอยร้าวก็กลายเป็นความขัดแย้ง สุดท้ายก็กลายเป็นทะเลาะเบาะแว้ง สามีภรรยามองหน้ากันไม่ติด
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่โจวเสาจิ่นแนะนำให้พี่สาวนำตัวคนไปมอบให้กับทางการ ให้ขึ้นอยู่กับการสอบปากคำของทางการแทน
ด้วยมีความพัวพันกับตระกูลโจวและตระกูลเฉิงสองตระกูล นางจึงไม่กลัวว่าทางการจะตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม
แต่โจวชูจิ่นกลับไม่อาจสงบใจลงได้
เพียงล้มลงแผลที่หัวยังใหญ่ไม่เท่าปากถ้วยด้วยซ้ำ ก็จะลงโทษซินหลานและหลานทิงเพียงเท่านี้ เช่นนั้นก็ออกจะง่ายเกินไปสำหรับคนสองคนนี้!
ไม่ว่าอย่างไรก็อยากให้พวกนางได้ลิ้มรสความเจ็บปวดบ้างถึงจะถูก
แต่คนก็ถูกส่งไปที่ศาลาว่าการเมืองแล้ว ไม่ว่านางอยากจะทำอย่างไรก็สายไปเสียแล้ว
หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงจะไปพูดกับท่านลุงใหญ่เหมี่ยนให้ช้าลงอีกสักสองสามวัน…
โจวเสาจิ่นรู้ว่าพี่สาวย่อมเสียใจอยู่ภายในใจเหมือนนางเป็นแน่ จึงช่วยเติมโจ๊กให้พี่สาว และขยับเต้าหู้แผ่นซอยในน้ำมันงากับยำแมงกะพรุนที่พี่สาวชอบกินไปให้ตรงหน้าพี่สาวเงียบๆ
โจวชูจิ่นหัวเราะขึ้นมาอย่างชอบใจ ตบที่มือของน้องสาวเบาๆ แล้วคีบเสี่ยวหลงเปาที่โจวเสาจิ่นชอบกินเติมให้นาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าก็กินด้วย! ไม่ต้องเป็นห่วงพี่สาว อีกไม่กี่วันพี่สาวก็จะดีขึ้นเอง”
โจวเสาจิ่นเข้าใจ
ก็เหมือนกับนางในชาติที่แล้ว ยามต้องเผชิญกับเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดหรือเสียใจแล้วไม่มีคนให้พูดคุยด้วย ตนก็จะอยู่เงียบๆ คนเดียวสักสองสามวัน จากนั้นอารมณ์ก็จะเบาบางลงไปเอง
นางจับมือของโจวชูจิ่นเอาไว้
หากมีวันใดที่พี่สาวมาเล่าความในใจให้นางฟังบ้างก็คงจะดี!
นางเองก็จะปลอบโยนพี่สาวเหมือนกับที่พี่สาวคอยปลอบโยนนางเช่นกัน
หลังจากที่สองพี่น้องรับประทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากวน
เรื่องนี้ถูกปกปิดเอาไว้ไม่ให้ผู้อื่นรู้ แต่ก็ไม่ได้ปิดบังฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไล่คนที่รับใช้อยู่ในห้องออกไป เหลือพวกนางสองพี่น้องเอาไว้พูดคุยด้วย นางกล่าวขึ้นว่า “สำหรับเรื่องนี้พวกเจ้าทำถูกต้องแล้ว พวกเราเป็นตระกูลผู้มีการศึกษาที่เป็นที่เคารพนับถือ จึงไม่อาจไปรังแกผู้อ่อนแอกว่า และทำร้ายชีวิตคนให้มือเปื้อนเลือดได้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจปล่อยให้เป็นเหมือนอย่างที่พวกเจ้ากับลุงของพวกเจ้าปรึกษากันเช่นนั้นได้ ที่เพียงจัดการเรื่องราวไปอย่างเงียบๆ เช่นนี้ สิ่งที่สมควรพูด ก็ต้องเผยออกมาให้ทราบบ้าง โดยเฉพาะคนทางด้านตรอกฉุนอี้ หลังจากที่พวกเรานำเอาทรัพย์สินของพวกเขาที่เคยฝากเอาไว้ภายใต้ชื่อของจวนสี่ก่อนหน้านี้คืนให้พวกเขาไปนั้น ฮูหยินใหญ่ไป่ก็ไม่ค่อยมาหาอีก ข้าคิดว่านางยังคงเฝ้ากล่าวโทษอยู่ในใจเป็นแน่ ข้าจึงค่อนข้างเป็นกังวลมาโดยตลอด เกรงว่าต่อไปเมื่อเฉิงลู่ผู้นั้นมีอำนาจแล้ว จะกลายมาเป็นศัตรูกับพวกเรา ถึงแม้พวกเราจะไม่กลัวเขา แต่หากมีคนที่เอาแต่เกลียดชังเจ้าอยู่ตลอดเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจได้…
…วันนี้มีเรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้พวกเราไม่ถามหาความรับผิดชอบจากตระกูลเฉิง ปฏิบัติกับพวกเขาอย่างใจกว้างและเห็นใจ แต่อย่างไรทั้งสองบ้านก็ไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนต้องการใช้เรื่องนี้มาบีบให้เฉิงลู่ต้องยอมจำนน
โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นต่างก็เห็นด้วย
ต่อให้พวกเขาจะเอาเฉิงไป่ไปฟ้องร้อง แต่เฉิงไป่เสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว จึงทำอะไรเขาไม่ได้มาก อย่างไรก็ตาม ยังพอเปิดเผยเรื่องที่นำไปสู่ความขุ่นเคืองใจของสองตระกูลอย่างตระกูลเฉิงและตระกูลจวงที่เกิดขึ้นในปีนั้นจนเป็นเหตุให้จวงเหลียงอวี้ถูกผู้คนครหาออกมาได้
และยังปล่อยข่าวลือที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ให้ต่งซื่อกับเฉิงลู่ไม่อาจเงยศีรษะขึ้นมาสู้หน้าตระกูลเฉิงได้อีกในภายภาคหน้า
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน” ฮูหยินผู้กวนพึงพอใจเป็นอย่างมากกับความเฉลียวฉลาดรู้ความของสองพี่น้อง กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องเก็บไปใส่ใจแล้ว ข้ามีวิธีของข้า ช่วงนี้ชูจิ่นก็อย่าเพิ่งไปเรียนเรื่องการครองเรือนกับป้าใหญ่ของเจ้า ส่วนเสาจิ่นก็ยังไม่ต้องไปเรียนที่ห้องศึกษาจิ้งอัน พวกเจ้าอยู่แต่ในบ้านไปก่อน หากมีคนถามขึ้นมา ก็ให้บอกไปว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงต้องพักผ่อนสักสองสามวัน”
หรือก็คือให้พวกนางสองพี่น้องแสร้งทำเป็นว่ากำลังเสียใจ!
ไม่ต้องแสร้งทำ พวกนางก็เสียใจมากพอแล้ว แต่ถ้าหากมันสร้างความอับอายให้ต่งซื่อกับเฉิงลู่ได้ โจวเสาจิ่นก็ยินดีเสแสร้งทำได้อีก
สองพี่น้องพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เอกสารคดีความที่ส่งให้ศาลาว่าการเมืองและคำตัดสินของศาลาว่าการเมืองนั้น พวกเจ้าต้องเก็บเอาไว้ด้วยหนึ่งฉบับ ถึงแม้จะกล่าวว่าถ้าคนไม่ฟ้องร้องทางการก็ไม่จับก็ตาม แต่ถ้ามีคนไม่ถูกชะตากับเฉิงลู่ผู้นั้น แล้วนำเรื่องนี้ไปฟ้องกรมพิธีการ…การที่เขามีบิดาเช่นนี้ เกรงว่าอยากจะรับราชการก็คงยากสักหน่อยเสียแล้ว!”
ยังคงเป็นขิงแก่ที่มากไปด้วยประสบการณ์!
โจวเสาจิ่นสองพี่น้องต่างยินดียิ่งนัก กล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่หยุด
ตกบ่าย ข่าวคราวเรื่องที่มารดาผู้ให้กำเนิดโจวเสาจิ่นถูกซินหลานผู้เป็นสาวใช้ทำร้ายจนเสียชีวิตและเฉิงไป่ที่อาศัยอยู่ข้างๆ บ้านเดิมของจวงซื่อก็มีส่วนรู้เห็นด้วยก็ถูกปล่อยออกมาทั่วทั้งซอยจิ่วหรูราวกับหน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่แตกหน่อชูช่อขึ้นมาหลังฝนตก
จี๋อิ๋งมาเยี่ยมโจวเสาจิ่น กล่าวปลอบใจนางอย่างเงอะงะเล็กน้อย “สวรรค์มีความยุติธรรม ย่อมไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้พวกเจ้าได้ค้นจนพบเบาะแส ทั้งที่เรื่องก็ผ่านมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้าวางใจเถิด พวกนางไม่มีทางได้มีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นรู้สึกอบอุ่นใจ กล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
จี๋อิ๋งถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “พูดกันตามหลักซินหลานผู้นั้นก็แต่งงานออกไปแล้ว หากนางอยากจะติดตามไปอยู่กับเฉิงไป่ ก็เพียงแอบหนีตามไปก็ได้แล้ว ยังจะกลับไปทำร้ายมารดาของเจ้าอีกเพื่ออะไร คนผู้นี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง! หรือว่าจะเป็นเพราะนางต้องการให้มารดาของเจ้าช่วยเหลือนาง? เป็นไปได้หรือไม่ว่ามารดาของเจ้าทนเห็นพฤติกรรมนี้ของนางไม่ได้ จึงข่มขู่นางว่าจะไปฟ้องร้องทางการหรือไม่ก็จะนำไปบอกสามีของนาง นางก็เลยบังเกิดความคิดชั่วร้ายนี้ขึ้นมา?”
โจวเสาจิ่นเหงื่อตก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเปิดเผยเรื่องราวออกไปอย่างกำกวม ก็เพราะต้องการให้เกิดความคลุมเครือ ให้ทุกคนไปคาดเดากันเอาเอง พยายามไม่ดึงจวงซื่อเข้ามาเกี่ยวข้องให้มากที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าจี๋อิ๋งกลับได้คำตอบออกมาเป็นเช่นนี้ได้

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน