การกระทำของสองพี่น้องตระกูลโจวและฮูหยินผู้เฒ่ากวนทำให้ต่งซื่อเจ็บแค้นใจอย่างที่สุด
นางเก็บตัวร้องห่มร้องไห้อยู่ในห้องมาสองวันเต็มๆ กระทั่งได้ยินว่าเฉิงลู่กลับมาถึงแล้ว นางจึงรีบรุดไปยังห้องโถงประหนึ่งคว้าฟางยื้อชีวิตเส้นสุดท้ายได้ก็ไม่ปาน
“ชายใหญ่ๆ แย่แล้วๆ!” ดวงตาของนางบวมเต่งราวลูกมันฮ่อ ทำให้เห็นอะไรไม่ค่อยชัดนัก นางสลัดสาวรับใช้ที่ช่วยประคองนางแล้วพุ่งไปยังร่างเงาที่สวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่กลางห้องโถงร่างนั้น “บิดาของเจ้าๆ เขาเกิดเรื่องแล้ว!”
ตามกฎระเบียบของสำนักศึกษาเย่ว์ลู่ ศิษย์ในสำนักจากต่างถิ่นขอลากลับบ้านตามสถานการณ์จริงของตนเองเมื่อใดก็ได้ ทว่าพอใกล้ถึงปีใหม่ เขากลับถูกอาจารย์ของสำนักศึกษาเย่ว์ลู่เรียกให้ไปช่วยรวบรวมผลงานเขียนต่างๆ จากสามปีก่อน กระทั่งรับประทานโจ๊กล่าปาเสร็จแล้วถึงได้ปล่อยตัวเขากลับมา เขากลัวจะพลาดพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษในคืนส่งท้ายปีเก่า จึงเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนถึงกลับมาได้ทันท่วงที ใครจะรู้ว่าเขายังไม่ได้หยุดยืนนิ่งๆ มารดาก็พุ่งออกมาอย่างลนลาน ทั้งยังเอ่ยปากร้องว่า “บิดาเกิดเรื่องแล้ว” อีกด้วย
บิดาของเขาเสียชีวิตไปแล้วสิบปี จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้อีกอย่างนั้นหรือ
เฉิงลู่ทั้งเหนื่อยทั้งหิวและรู้สึกเหน็บหนาว ไหนเลยจะยังสงวนท่าทีสุภาพเรียบร้อยขณะสนทนากับต่งซื่อได้
“ท่านแม่ ท่านสงบใจลงสักหน่อยได้หรือไม่” เขากล่าวอย่างรำคาญใจเล็กน้อย “หากท่านมีเรื่องอะไรก็รอให้ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แล้วเสร็จและจิบชาร้อนสักอึกก่อนแล้วค่อยมาคุยกันไม่ได้หรือ”
“เจ้า…เจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกหรือ!” ต่งซื่อกล่าวตะกุกตะกักพลางรีบยืนตัวตรง ครั้นนึกถึงเรื่องกวนใจเหล่านั้นแล้ว ก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าน้ำตากลับราวกับบ่อน้ำที่เหือดแห้ง ร้องอย่างไร ก็ไม่มีน้ำตาให้หลั่งไหล ดวงตาปวดระบม แต่นางยังคงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับขอบตา พลางกล่าวว่า “ชายใหญ่ เจ้าคงไม่รู้ว่าบิดาของเจ้าทำอะไรลับหลังพวกเราบ้าง ตอนนี้อาจจะดีกว่ามากแล้ว แต่ยามที่เขายังมีชีวิตอยู่กลับไม่เคยสนใจพวกเราแม่ลูกเลยสักครั้ง พอจากไปแล้วยังต้องการทำร้ายเจ้าอีก…”
“ท่านแม่!” เฉิงลู่ได้ยินแล้วใบหน้าถอดสี กล่าวอย่างดุดันว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังพูดอะไรอยู่ ต่อหน้าบ่าวเด็กและสาวรับใช้ที่อยู่เต็มห้องเหล่านี้ ต่อไปท่านยังอยากจะเป็นคนอยู่หรือไม่!”
ดวงหน้าของต่งซื่อกระตุกด้วยความตกใจ
เฉิงลู่สั่งสาวใช้ข้างกายนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เหลียนเซียง ประคองฮูหยินเข้าไปในห้องเสีย”
เหลียนเซียงหวาดหวั่นจนตัวสั่นงันงก รีบพาต่งซื่อออกไป
ทว่าต่งซื่อไม่ได้ตามสาวใช้กลับห้องอย่างเชื่อฟังเหมือนเช่นเคย แต่กลับดึงแขนเสื้อของเฉิงลู่เอาไว้ พลางกล่าวอย่างกึ่งอ้อนวอนกึ่งตระหนกว่า “ชายใหญ่ เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็มาหาข้าเลยนะ ข้ามีเรื่องด่วนต้องบอกเจ้า” จากนั้นก็นึกได้ว่าบุตรชายอาจจะยังไม่ได้รับประทานอะไรมา ก็กล่าวอีกว่า “หากเจ้ายังไม่ได้รับประทานอาหารมา ก็ให้สาวใช้ยกสำรับมาที่ห้องของข้า ข้าจะเล่าไปด้วย ส่วนเจ้าก็รับประทานไปด้วย เรื่องนี้ร้ายแรงยิ่งนัก”
บุตรชายรักบิดาเป็นอย่างมาก หากว่าได้ยินเรื่องเสื่อมเสียของบิดาเขาจากปากของพวกบ่าวรับใช้ล่ะก็ นางเกรงว่ายามที่บุตรชายเศร้าเสียใจจะไม่มีใครคอยปลอบประโลมเขา
เฉิงลู่ย่นคิ้วพลางตอบรับว่า “อืม” เสียงหนึ่ง จนกระทั่งต่งซื่อออกจากห้องโถงไปแล้ว จึงบอกจ้าวต้าไห่ว่า “เจ้ารีบนำของฝากที่พวกเรานำมาจากฉางซาไปมอบให้แต่ละจวนในซอยจิ่วหรู พรุ่งนี้ก็เป็นวันตรุษจีนเล็กแล้ว หากมอบให้ช้าคงจะไม่เหมาะสมสักเท่าใด”
จ้าวต้าไห่ขานรับติดๆ กัน
จากนั้นเฉิงลู่กับบ่าวเด็กซงชิงก็กลับเข้าไปในห้อง
เนื่องจากโม่เซียงไม่รู้ว่าเฉิงลู่จะกลับมาเมื่อใด ครั้นย่างเข้าเดือนสิบสองก็ทำความสะอาดห้องข้างที่เฉิงลู่พำนักอยู่ทุกวันวันละหน ทำเสมือนกับยามที่เฉิงลู่ยังอยู่ที่บ้าน พอได้รับแจ้งว่าเฉิงลู่กลับมาแล้ว นางก็รีบออกมาต้อนรับ
เฉิงลู่เห็นว่าตนเองไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าจะกลับมาเมื่อใด ทว่าภายในห้องกลับสะอาดเรียบร้อย แม้แต่ภาพวาดกลางห้องยังแขวนไว้ด้วยภาพหิมะเหมันต์อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดุมสมบูรณ์ของปีที่กำลังจะมาถึงให้เข้ากับเทศกาล เขาจึงพอใจเป็นอย่างมาก พยักหน้าน้อยๆ และตกรางวัลห้าเหลี่ยงแก่โม่เซียง
โม่เซียงยินดีปรีดายิ่งนัก รีบบอกให้สาวใช้ไปตักน้ำมาให้เฉิงลู่ล้างหน้าล้างตา ทั้งให้สาวใช้เด็กไปแจ้งห้องครัวว่าเฉิงลู่กลับมาแล้ว ให้เตรียมอาหารและสุราที่เขาชื่นชอบเอาไว้ให้ด้วย
เฉิงลู่กระหวัดนึกถึงเรื่องของมารดา
แม้ว่ามารดาของเขาจะคุ้มดีคุ้มร้ายไปบ้าง แต่ก็เป็นคนที่รักใคร่และเป็นห่วงบุตรผู้หนึ่ง เมื่อรู้ว่าเขาเพิ่งกลับมา หากไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่จนทำให้นางตื่นตระหนกขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่รู้ว่าเขายังไม่ได้รับประทานอาหารมา หนำซ้ำยังอยากจะให้เขาไปพูดคุยที่ห้องของนางอีก
หรือว่าบิดาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ กันแน่
ความคิดหนึ่งวาบผ่าน เขาสบถออกมาเสียงหนึ่ง
มารดาฟุ้งซ่านหนักแล้ว ตนก็ฟุ้งซ่านตามไปด้วย ไม่น่าเชื่อว่าตนจะพูดคำพูดแบบเดียวกับมารดาออกมา!
เขาครุ่นคิดแล้วบอกโม่เซียงว่า “ยกสำรับไปที่ห้องของฮูหยิน ข้าต้องการพูดคุยกับฮูหยิน”
โม่เซียงรับคำอย่างนอบน้อม รอให้เฉิงลู่ล้างหน้าแต่งตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดจิ่นเผาผ้าไหมหูโจวหางโจวสีม่วงอ่อนเรียบร้อยแล้ว ถึงได้พาเฉิงลู่ไปที่ห้องของต่งซื่อ
ต่งซื่อรีบไล่สาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยข้างกายสองคนออกไป ดึงมือของบุตรชายเอาไว้และอดที่จะปิดตาร้องโฮออกมาไม่ได้ “บิดาของเจ้าจากไปแล้วแต่ไม่ได้กระทำเรื่องดีอันใดเลย…” นางเล่าเรื่องที่ตระกูลโจวค้นพบว่าหลานทิงบิดเบือนคำสั่งเสียของจวงซื่อ ถูกพี่น้องตระกูลโจวสืบสาวราวเรื่องจนพบว่าเฉิงไป่กับซินหลานสมรู้ร่วมคิดกันลอบสังหารจวงซื่อให้เฉิงลู่ฟัง
เพียงแต่เฉิงลู่ไม่รอให้ต่งซื่อเล่าจนจบ โทสะของเขาก็พวยพุ่งดั่งอัสนีบาต ตวาดต่งซื่อไปว่า “ท่านไปฟังใครเล่าเรื่องเหลวไหลมาหรือ คนที่ดีมากเช่นบิดา จะไปสมคบกับบ่าวหญิงต่ำช้าคนหนึ่งได้อย่างไร ซ้ำยังเป็นบ่าวหญิงที่แต่งให้กับพ่อค้าไปแล้วอีก! คนอื่นไร้มันสมอง ท่านก็จะทำตัวไร้สมองตามไปด้วยอย่างนั้นหรือ! ตลอดทั้งวันที่อยู่ในบ้านท่านทำอะไรบ้าง ข้าตรากตรำร่ำเรียนอย่างหนักเพื่อดูแลค้ำจุนครอบครัวนี้ ไม่ใช่เพื่อให้ท่านมาพูดถึงเรื่องเสื่อมเสียของบิดาข้าตามผู้อื่นโดยไม่คิดเช่นนี้!”
ต่งซื่อตกใจกลัวใบหน้าถมึงทึงของบุตรชายจนรู้สึกอ่อนยวบหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเก้าอี้ไปครู่หนึ่ง หากไม่ใช่เพราะมีพนักเก้าอี้อยู่ข้างหลัง เกรงว่านางคงจะล้มหงายไปเสียแล้ว
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน