แต่จะทำอย่างไรถึงจะเข้าใกล้ท่านน้าฉือได้นะ
ต่อให้เป็นการยัดเยียดก็ต้องยัดให้เข้าถึงจะใช้การได้!
โจวเสาจิ่นนั่งเท้าคางครุ่นคิดอยู่หน้าโต๊ะวาดภาพในห้องหนังสือ
ส่งรองเท้ากับถุงเท้าไปให้?
ดูเหมือนจะไม่ได้
ข้างกายของท่านน้าฉือมีคนที่เก่งงานเย็บปักยิ่งกว่านางอย่างหนานผิงอยู่ด้วยผู้หนึ่งอยู่แล้ว ไปๆ มาๆ ของที่นางอุตส่าห์ลงแรงลงกายทำออกมาเมื่อเปรียบเทียบกับของหนานผิงแล้วอาจจะไม่นับว่าเป็นอะไรไปเลยก็ได้
ส่งขนมไปให้?
นางเคยลองทำแล้ว
และก็พ่ายแพ้จนราบคาบ!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
ดูเหมือนว่าท่านน้าฉือจะไม่ค่อยให้ความสนใจกับพวกขนมกินเล่นสักเท่าใดนัก
ทำกับข้าว?
นางจะทำให้ทางห้องครัวต้องวุ่นวายหรือไม่…นอกจากนี้ก็ยังดูเอิกเกริกเกินไปอีกด้วย ไม่แน่ว่าอาจทำให้ท่านน้าฉือเข้าใจว่านางป่วยเป็นวิกลจริตไปเลยก็เป็นได้
โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็ให้ปวดศีรษะ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
นางคิดแล้วคิดอีก ถามเฉิงเจียว่า “ถ้าเจ้าอยากทำให้คนผู้หนึ่งเกิดความรู้สึกดีๆ กับเจ้า เจ้าจะทำอย่างไรหรือ”
เฉิงเจียกล่าว “เจ้าอยากทำให้ผู้ใดชอบเจ้าหรือ นายหญิงผู้เฒ่าหรือ ข้าดูแล้วนางก็ชื่นชอบเจ้าเป็นอย่างมากอยู่แล้วนี่นา!”
“ไม่ใช่” แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นไม่อาจพูดความจริงได้ ไม่อย่างนั้นเฉิงเจียต้องถามไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะถึงขั้นเอาไปพูดกับเจียงซื่อด้วย ถึงตอนนั้นเรื่องราวคงวุ่นวายแย่ “ช่วงนี้ข้าเพียงแต่กำลังคิดถึงเรื่องพวกนี้ ก็เลยอยากรู้ว่าเจ้าจะมีประสบการณ์ทางด้านนี้บ้างหรือไม่ก็เท่านั้น”
“อ้อ!” เฉิงเจียกล่าวอย่างพินิจพิจารณาและเอาจริงเอาจังว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า แล้วก็พี่ชายของข้า คนเหล่านี้นับรวมด้วยหรือไม่ ข้ารู้สึกว่าข้าก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่ออดอ้อนสักหน่อย พวกเขาก็ตามใจข้าทุกอย่างแล้ว…”
ออดอ้อนหรือ
ไม่ได้
โจวเสาจิ่นรีบปฏิเสธในทันทีทันใด
นางลองนึกภาพนั้นแล้วก็ให้รู้สึกเหมือนจะไม่สบายขึ้นมา
“นอกจากอันนี้เจ้าไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ” โจวเสาจิ่นยังคงถามอีกอย่างไม่ยอมถอดใจ
“ไม่มี” เฉิงเจียรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นพิลึกคนยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “พวกเราเป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง เหตุใดต้องออกโรงเองด้วยเล่า เพียงเข้ากันได้ดีกับผู้อื่นก็พอแล้ว ออกโรงทำเองเช่นนี้ ก็ออกจะเป็นการลดสถานะของตัวเองเกินไป”
โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก
นางเองก็ไม่ได้อยากทำเหมือนกัน!
แต่หากไม่ยอมลดสถานะตัวเองก็ไม่ได้นี่นา
ท่านน้าฉือเกือบจะเป็นคนดื้อรั้นที่ไม่ฟังผู้อื่น
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเข้าออกเมืองหลวงได้ทุกเมื่อ
ซึ่งก็หมายความว่าเขาไปเจอเฉิงจิงได้ทุกเวลา
ตกเย็นยามที่นางกลับไปพักผ่อนที่เรือน ซือเซียงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ อ่างน้ำช่วยขัดเท้าให้นาง
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ถามซือเซียงว่า “เจ้าคิดว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้คนคนหนึ่งเกิดความรู้สึกดีๆ กับเจ้าได้”
ซือเซียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “แน่นอนว่าต้องตั้งอกตั้งใจรับใช้นางให้ดีที่สุดอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็กล่าวอีกว่า “แล้วก็ต้องจงรักภักดีด้วยเจ้าค่ะ”
เอาละ!
โจวเสาจิ่นต้องยอมรับว่าตนถามผิดคนเสียแล้ว
นางจึงไปถามพี่สาว
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ทำในสิ่งที่ผู้นั้นพึงพอใจก็พอ!”
“ทำในสิ่งที่ผู้นั้นพึงพอใจ!” โจวเสาจิ่นดูประหนึ่งตกอยู่ในภวังค์
โจวชูจิ่นหัวเราะและไม่สนใจนางอีก
วันต่อมาโจวเสาจิ่นไปเรือนหานปี้ซานเร็วกว่าในยามปกติไปครึ่งเค่อ หลังจากที่นางไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้ตรงไปที่ห้องพระในทันที แต่ไปที่เรือนหลีอินแทน
เฉิงฉือไปจิงเฉิง เรือนหลีอินจึงเหลือเพียงหนานผิงกับสาวใช้เด็กอีกไม่กี่คนเท่านั้น
ตอนที่โจวเสาจิ่นไปถึงนั้น หนานผิงกำลังพาสาวใช้เด็กอีกหลายคนช่วยกันทำเสื้อสำหรับฤดูใบไม้ร่วงให้เฉิงฉือกันอยู่ พอเห็นโจวเสาจิ่นเดินเข้ามาก็วางงานในมือลง ยิ้มพลางเดินออกมาต้อนรับ “คุณหนูรองมาแล้วหรือเจ้าคะ! แม้นจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่แสงแดดของพระอาทิตย์ยามต้องบนร่างกายก็อุ่นเกินไปนัก ทำให้ถูกแผดเผาได้ง่าย คุณหนูรองรีบเข้ามานั่งด้านนี้ก่อน ด้านนี้มีร่มเงาเย็นกว่าเจ้าค่ะ”
เข้าสู่เดือนที่สองของฤดูใบไม้ผลิแล้ว แดดที่ส่องลงมาต้องร่างกายมนุษย์จึงค่อนข้างจะร้อนแล้ว
โจวเสาจิ่นยิ้มร่าพลางนั่งลง
หนานผิงนำของว่างและน้ำชามาให้นางด้วยตัวเอง


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน