หลี่ซานเจียงไม่ได้กล่าวอะไร ชั่วขณะนั้นเฉิงฉือเองก็เหมือนกับว่าจะจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
ภายในห้องหนังสือเงียบสงัด ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเฉิงฉือจะได้สติกลับมา กล่าวขึ้นว่า “ทางด้านของเว่ยจื้อเฮ่านี้ ข้าเตรียมจะถอนหุ้นออกมา เจ้ากลับไปถามนายท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้าสักหน่อยว่าเขาประสงค์จะซื้อหุ้นที่อยู่ในมือของข้ากลับไปหรือไม่…”
เสียงพูดของเขายังไม่ทันได้จบลง หลี่ซานเจียงก็หน้าถอดสี เขาลุกขึ้นมาด้วยอาการกึ่งหวาดกลัวกึ่งกังวลใจ กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ ทุกอย่างก็กำลังดีๆ เหตุใดจู่ๆ ท่านถึงอยากจะถอนหุ้นหรือขอรับ”
หรือว่าตระกูลเฉิงต้องการริบสิทธิ์ในการปกครองดูแลกิจการของเฉิงฉือกลับไปอย่างนั้นหรือ
แต่นี่ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก!
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าตอนนี้ผู้คนภายนอกที่มาทำการค้ากับตระกูลเฉิงนั้นรู้จักเพียงชื่อเสียงของนายท่านสี่ของตระกูลเฉิงผู้นี้เท่านั้น หากตระกูลเฉิงจะไม่ให้เฉิงฉือดูแลกิจการของตระกูลจริงๆ แล้วล่ะก็ เฉิงฉือที่มีตำแหน่งเป็นถึงจิ้นซื่อลำดับที่สองอยู่กับตัวนี้ ก็จะเป็นจังหวะดีได้ทุ่มเทกับการไปรับราชการอย่างหมดห่วง และยังได้สลัดดินโคลนนี้ออกไปพอดี เป็นเรื่องที่ปรารถนามาโดยตลอด ในขณะที่ส่วนแบ่งของทางเว่ยจื้อเฮ่านี้ก็ถูกเฉิงฉือบีบบังคับมาในตอนแรก นายท่านผู้เฒ่าไม่มีทางเลือกจำต้องยอมบีบจมูกเชิญเขาเข้ามาร่วมหุ้นด้วย โดยที่ตระกูลเฉิงไม่จำเป็นต้องมีคนมารับรู้ด้วย เมื่อมีกำไรส่วนนี้อยู่ในมือแล้ว ต่อไปต่อให้ตระกูลเฉิงไม่สนับสนุนเฉิงฉืออีก เฉิงฉือก็อยู่ได้ด้วยตัวเอง สำหรับผู้อื่นถือเป็นการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนประหนึ่งเก็บเกี่ยวผลท้อหลังฤดูใบไม้ร่วงเรื่องหนึ่ง และสำหรับเฉิงฉือก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ควรเฉลิมฉลองถึงจะถูก
แล้วเหตุใดเขาถึงมีความคิดอยากจะถอนหุ้นออกจากเว่ยจื้อเฮ่าเล่า
ความเป็นไปได้ลำดับแรกที่หลี่ซานเจียงนึกถึงก็คือเว่ยจื้อเฮ่าอาจจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น และความเป็นไปได้ลำดับถัดมาที่นึกถึงก็คือหรือว่าเฉิงฉือต้องการจะหันหลังให้ตระกูลหลี่!
แต่ว่าตลอดหลายปีมานี้ทุกคนต่างก็ร่วมมือกันเป็นอย่างดี และที่ผ่านมาตระกูลหลี่ก็ไม่เคยไปกระตุกหนวดเสือของเฉิงฉือให้เขาต้องระคายเคือง เฉิงฉือจึงไม่น่าจะไร้หัวจิตหัวใจขนาดนี้กระมัง
เรื่องนี้เฉิงฉือเองก็คิดพิจารณามานานแล้ว แต่ในเมื่อต้องการจะละทิ้ง ก็ละทิ้งเสียให้หมดก็แล้วกัน ด้วยสถานะทางครอบครัวของเขาในตอนนี้ ขอเพียงคนรุ่นลูกรุ่นหลานไม่เอาสมบัติพัสถานไปเล่นพนันจนหมด ก็เพียงพอให้อยู่กันอย่างสบายไปจนถึงสองสามรุ่นเลยทีเดียว
บางครั้ง การมีเงินมากก็ไม่จำเป็นว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป
เขากล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องการสร้างท่าเรือสักแห่งที่เทียนจิน จำเป็นต้องใช้เงิน เจ้าไปบอกนายท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน!”
ถ้าเขาขายหุ้นในส่วนของเขาให้ซิ่นอ๋องจูเฉิงผู้เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ลำดับที่สาม จูเฉิงก็จะกลายเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ลำดับที่สองซึ่งจะเป็นรองเพียงแค่ตระกูลหลี่เท่านั้น เมื่อรวมกับสถานะพิเศษของจูเฉิงแล้ว เกรงว่าตระกูลหลี่อาจจะสูญเสียอำนาจในการควบคุมร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่าไป
โดยไม่ต้องคิด หลี่ซานเจียงกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ ในเมื่อเป็นเรื่องของเงิน สำหรับร้านตั๋วแลกเงินอย่างพวกเราแล้วจะนับว่าเป็นปัญหาอะไรได้ ท่านก็อย่าได้ด่วนถอนหุ้นเลย ขอเพียงท่านบอกมาว่าท่านต้องการเงินจำนวนเท่าใด ร้านเว่ยจื้อเฮ่ามีทรัพย์สินจำนวนเท่าใดท่านก็ทราบดี หากว่ายังไม่พอ ไม่ใช่ว่าเมืองเซ่อเซี่ยนของพวกข้าเป็นแหล่งรวมของร้านขายอัญมณีหรือไม่ก็ธนาคารหรอกหรือ ด้วยชื่อเสียงที่มีมาช้านานของตระกูลหลี่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเงินพันล้านเหลี่ยง ต่อให้มากกว่านั้น ก็รวบรวมมาให้ท่านได้ ขอเพียงท่านแจ้งความประสงค์แก่ข้ามาก็พอ ข้าจะกลับไปคุยกับนายท่านผู้เฒ่าของพวกข้า ไม่จำเป็นต้องถอนหุ้นออกไปเลยขอรับ!”
หากไม่มีเฉิงฉือ นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลหลี่อาจควบคุมจูเฉิงเอาไว้ไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่าอาจจะต้องเลิกกิจการไป ไม่สู้เอาเงินให้เฉิงฉือกู้เสียจะดีกว่า
จนถึงปัจจุบันไม่ว่าเขาจะทำการค้าอะไรก็ไม่เคยขาดทุนมาก่อน!
เฉิงฉือกล่าว “ในน้ำขุ่นเกินไป พวกเจ้าอย่ากระโจนลงมาจะดีกว่า”
หลี่ซานเจียงไม่มีอะไรจะกล่าวอีก
เฉิงฉือมียศจิ้นซื่อลำดับสองอยู่กับตัว ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
ไม่เหมือนพวกเขาที่เป็นเพียงพ่อค้าผู้หนึ่งเท่านั้น
หากคุณชายสี่ของตระกูลหลี่ทำได้อย่างที่ทุกคนคาดหวัง สอบผ่านจวี่เหรินของการสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ร่วงในปีหน้าได้ ก็จะไม่เป็นการเสียแรงที่นายท่านผู้เฒ่าอุตส่าห์ตรากตรำมาอย่างยาวนานหลายปีขนาดนี้
เขาค้อมตัวพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าจะกลับไปแจ้งนายท่านผู้เฒ่าของพวกข้าขอรับ”
เฉิงฉือยกน้ำชาขึ้น
ไหวซานออกไปส่งแขก
เฉิงฉือนั่งอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพังกว่าครู่ใหญ่
ไหวซานกลับเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “นายทานสี่ ท่านคงไม่ใช่เป็นเพราะคิดว่าช่วงสองปีนี้ไม่มีอะไรทำ ก็เลยเตรียมจะไปสร้างท่าเรืออะไรนั่นกับเซียวเจิ้นไห่จริงๆ กระมัง”
เฉิงฉือยิ้มเย็น พลางกล่าว “สมองของข้าไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย! เซียวเจิ้นไห่ได้เงินจากการดักปล้นมาสร้างท่าเรือ หรือก็คือท่าเรือที่จะสร้างที่เป่ยถังนั่น จะต้องสิ้นเปลืองเงินทองตั้งเท่าไร สิ่งที่เซียวเจิ้นไห่ต้องการคือการฟอกขาวสถานะของตัวเอง หากข้าตามไปร่วมวงด้วย เช่นนั้นจะนับเป็นเรื่องอะไรไปแล้ว” เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย ก็มีสำเนียงพูดท้องถิ่นของเมืองหลวงติดออกมาด้วย
ไหวซานหน้าแดง พึมพำกล่าวว่า “ข้าเห็นว่าวันนั้นท่านกับเซียวเจิ้นไห่คุยกันถูกคอยิ่งนัก…”
เฉิงฉือไม่แม้แต่จะชายตามองเขาเลยสักนิด
ไหวซานมีสีหน้าอึกอัก รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่ในใจ
วันนั้นเซียวเจิ้นไห่ดูดุดันข่มขู่ผู้คน แต่นายท่านสี่กลับทำเพียงยิ้มโดยไม่ได้กล่าวอะไร ตอนที่เซียวเจิ้นไห่จากไปนั้นแน่นอนว่าในใจเขาต้องรู้สึกไม่มั่นใจนัก มาวันนี้นายท่านสี่พูดต่อหน้าคนของตระกูลหลี่ว่าต้องการร่วมหุ้นสร้างท่าเรือเป่ยถังที่เทียนจิน หากเซียวเจิ้นไห่ได้ยินข่าวคราวนี้เข้าจะไม่ดีใจจนเสียสติไปแล้วหรือ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่านายท่านสี่เป็น ‘เทพเจ้าแห่งโชคลาภ’ กลัวแต่ว่าบรรดาคนที่ก่อนหน้านี้ยังรอดูสถานการณ์พวกนั้นพอได้ยินว่านายท่านสี่ต้องการร่วมหุ้นด้วยจะรีบเปลี่ยนใจในทันที แล้วเงินก็คงจะหลั่งไหลไปหาเซียวเจิ้นไห่…กระทั่งถึงเวลาลงลายมือชื่อในหนังสืออย่างเป็นทางการ เมื่อคนพวกนั้นค้นพบว่านายท่านสี่ไม่ได้มีแผนการนี้ ถึงตอนนั้นหากไม่ไปคิดบัญชีกับตระกูลหลี่ก็คงจะไปคิดบัญชีกับเซียวเจิ้นไห่…
เขายืนไว้อาลัยให้ทั้งตระกูลหลี่และเซียวเจิ้นไห่ในเวลาเดียวกันไปหลายลมหายใจ
อย่างไรก็ตาม เซียวเจิ้นไห่ผู้นั้นก็เป็นคนเหี้ยมโหดผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะมาแฉนายท่านสี่หรือไม่
เขากระซิบกล่าวว่า “นายท่านสี่ ตระกูลหลี่อยู่ภาคกลาง เซียวเจิ้นไห่อยู่ทางเหนือ ส่วนสิบสามห้างอยู่ทางใต้ อาณาเขตของผายเจี้ยวผู้นั้นที่ชวนซีนั้น คราวก่อนที่ท่านให้คนไปล่มเรือของพวกเขา พวกเขายังคงเก็บงำความแค้นมาจนถึงทุกวันนี้นะขอรับ! ในเมื่อท่านเตรียมจะวางมือแล้ว เหตุใดถึงไม่วางมือเสียตั้งแต่ตอนนี้ไปเลยขอรับ!”
เฉิงฉือรู้สึกว่าไหวนซานเป็นผู้คุ้มกันที่ดี แต่กลับไม่ใช่ผู้ติดตามที่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้จัดการเรื่องต่างๆ
แต่ไหวซานเป็นคนของเขา ฉะนั้นเขาจึงอธิบายให้ฟังว่า “ปีนี้ข้าขายใบอนุญาตค้าเกลือของตระกูลเฉิงที่ไหวตง ไหวซี และเจ้อเจียง ขายโรงทอผ้าที่หังโจว และขายกิจการเดินเรือที่เฉวียนโจวแล้ว…ภายใต้โลกหล้านี้ไม่มีกำแพงที่ไม่มีรู ข้าจำเป็นต้องอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยหรือ หากต้องการกล่าวโทษก็ต้องโทษเซียวเจิ้นไห่ที่โชคร้าย ทั้งๆ ที่เป็นวันตรุษจีน เขาก็ยังมาหาถึงเมืองจินหลิง หากไม่ใช่เขาแล้วผู้ใดสมควรจะเป็นแพะรับบาปในครั้งนี้เล่า”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน