โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะถามคำถามนี้กับตน นางตกตะลึงไปครู่หนึ่งถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เขาไม่ได้ทำเรื่องอะไรไม่ดีกับข้า เพียงแต่ข้าไม่ค่อยชอบพฤติกรรมของเขาก็เท่านั้นเจ้าค่ะ…” นางพยายามอธิบายเพิ่มเติมว่า “ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องดีๆ เรื่องหนึ่ง แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว สายตาของทุกคนก็จะมารวมตัวอยู่ที่เขาทั้งหมด ประหนึ่งว่าไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ถูกสายตาของทุกคนจับจ้องอยู่ก็ไม่ปาน ทำให้รู้สึกไม่สบายใจนักเจ้าค่ะ…”
ไม่รู้ว่าเฉิงเจียซ่านเป็นที่หมายปองให้ไปเป็นว่าที่บุตรเขยของผู้คนมากมายเพียงใด เฉิงฉือเชื่อว่าโจวเสาจิ่นรู้อยู่แก่ใจดี
เหตุผลนี้จึงไม่เพียงพอให้เด็กสาวผู้หนึ่งอยากจะหนีห่างจากเฉิงเจียซ่านมากราวกับต้องการหนีงูหนีแมงป่องเช่นนี้!
แต่เฉิงฉือก็ไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ
บางเรื่อง รีบร้อนเกินไปก็ไม่ได้ผล
เขามั่นใจว่าโจวเสาจิ่นมีความลับบางอย่างอยู่กับตัว แต่ความลับนี้จะมีผลกระทบต่อแผนการของเขาหรือไม่นั้นยังต้องตรึกตรองดูก่อน จะคุ้มค่าให้เขาตรวจสอบดูหรือไม่นั้นยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวในตอนนี้
เฉิงฉือพยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าว “คนบางประเภทก็ไม่ชอบใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความสนใจของผู้อื่นจริงๆ เฉิงเจียซ่านเป็นบุตรชายคนโตและหลานชายคนโตของตระกูลเฉิง จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นให้ความสนใจ เจ้าไม่ชินก็เป็นเรื่องปกติ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งราวกับได้วางภาระอันหนักอึ้งลง ถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง หันไปยิ้มให้เฉิงฉืออย่างขอบคุณ
เฉิงฉือกล่าว “ถ้าหากข้าได้ไปจิงเฉิงแล้วไม่มีธุระสำคัญอะไร ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ หากท่านยายกับพี่สาวของเจ้าอนุญาตให้เจ้าร่วมทางไปกับข้า ข้าจะพาเจ้าไปจิงเฉิงด้วยสักครั้งหนึ่ง!”
“จริงหรือเจ้าคะ!” นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นเปล่งประกายสุกใสขึ้นมา สว่างไสวราวกับดวงดาราบนฟากฟ้ายามค่ำคืน
เฉิงฉือลอบส่ายศีรษะอยู่ในใจ
ไม่แปลกที่เฉิงเจียซ่านจะวิ่งไล่ตามเด็กสาวผู้นี้อย่างไร้ยางอาย เด็กผู้นี้มีหน้าตาที่งดงามจริงๆ
เขากล่าว “ข้าทิ้งนายท่านใหญ่กู้เอาไว้ที่ห้องพักโดยสารคนเดียว คงต้องกลับไปดูสักหน่อยแล้ว เจ้ายืนชมทิวทัศน์อยู่บนหัวเรือสักพักแล้วก็รีบกลับห้องให้ไวเถิด! ลมยามค่ำคืนเย็นนัก ระวังจะป่วยไข้เอาได้ ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลงแล้ว ไม่มีอะไรให้น่าดูสักเท่าไร ประเดี๋ยวรอให้ใกล้ถึงจินหลิงค่อยให้สาวใช้ไปเรียกเจ้า เรือจำนวนมากที่ชายฝั่งของสะพานเจียงตง เมื่อถึงยามค่ำคืนบนเสากระโดงเรือจะแขวนโคมไฟสีแดงเอาไว้ อย่างมากลำหนึ่งจะมีมากถึงสิบกว่าอัน อย่างน้อยก็จะมีหนึ่งถึงสองอัน ทำให้ผิวทะเลสาบดูเป็นสีแดงละลานตา เป็นทัศนียภาพที่เป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก เจ้าไม่ค่อยได้ออกไปไหน ควรค่าแก่การชมสักครั้ง”
คำพูดที่กล่าวออกมาทั้งเอาใจใส่และคิดถึงผู้อื่น ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ
นางกล่าวขอบคุณเฉิงฉืออย่างจริงใจ รอจนกระทั่งเงาร่างของเฉิงฉือลับหายไปยังท้ายเรือแล้ว นางก็กลับไปที่ห้องพักโดยสาร
โจวชูจิ่นที่เฝ้ารอความเคลื่อนไหวของน้องสาวอยู่ตลอดนั้น เมื่อได้ยินเสียงก็ลุกขึ้นนั่ง เอ่ยขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นขานตอบยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” นางนั่งลงข้างเตียงของพี่สาว เล่าเรื่องที่ได้พบกับเฉิงฉือที่หัวเรือให้พี่สาวฟัง แต่แน่นอนว่า ไม่ได้เล่าเรื่องที่เฉิงฉือถามนางเกี่ยวกับเฉิงสวี่ให้พี่สาวฟังแม้แต่คำเดียว
โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้าก็กระไร อยากไปเยี่ยมท่านพ่อที่เมืองเป่าติ้งเพียงบอกข้าสักคำก็ได้แล้ว ย่อมต้องหาโอกาสไปได้อย่างแน่นอน ไม่เห็นจำเป็นต้องไปรบกวนท่านน้าฉือ ถึงแม้ข้าจะเคยเจอท่านน้าฉือเพียงไม่กี่ครั้ง แต่จากคำบอกเล่าของเจ้าก็พอจะฟังออกว่าท่านน้าฉือเป็นสุภาพบุรุษที่รักษาคำมั่นสัญญาผู้หนึ่ง หากถึงเวลานั้นเขาให้เจ้าตามไปที่เป่าติ้งจริงๆ เจ้าจะไปหรือไม่”
ถ้าเฉิงสวี่ยังอยู่ที่จิงเฉิง นางย่อมไม่ไปอย่างแน่นอน แต่ถ้าเฉิงสวี่กลับมาแล้ว ต่อให้หลังจากนั้นนางจะถูกลงโทษอย่างไรนางก็จะต้องไปจิงเฉิงให้ได้สักครั้งหนึ่ง
เพียงแต่ว่าคำพูดเหล่านี้ไม่อาจพูดให้พี่สาวฟังได้ นางจึงยิ้มกลบเกลื่อนกลับไป
รอจนกระทั่งถึงสะพานเจียงตงในตอนกลางคืน โจวเสาจิ่นมองไปที่โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่พร่างพราวประหนึ่งภาพสะท้อนของดวงดาราบนฟากฟ้าที่ตกกระทบอยู่บนผิวน้ำทะเลสาบ นางส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจออกมาไม่หยุดอย่างห้ามไม่อยู่
โจวชูจิ่นที่เบียดตัวอยู่ตรงหน้าต่างกับน้องสาวก็มองอย่างหลงใหล ถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ากลางคืนจะมีโคมไฟให้ดูด้วย”
โจวเสาจิ่นตอบยิ้มๆ ว่า “ท่านน้าฉือบอกมาเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียที่อยู่อีกด้านหนึ่งบุ้ยปากอย่างไม่พอใจ พลางกล่าวขึ้นว่า “วันนี้ข้าก็ได้เจอท่านอาฉือ เหตุใดเขาถึงไม่บอกข้าบ้างเล่า”
“นั่นก็เป็นเพราะว่าเจ้าไม่คุยกับเขาอย่างไรเล่า!” โจวเสาจิ่นมองไปที่โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่พวกนั้นที่กำลังจะผ่านเรือที่พวกนางนั่งอยู่ไป พลางกล่าว “ท่านน้าฉือเป็นคนดียิ่งนัก แล้วก็ยังยินดีช่วยเหลือผู้คนอีกด้วย เพียงแต่ดูไปแล้วเป็นคนเย็นชาไปสักหน่อยเท่านั้น”
“ไม่ใช่เพียงแค่เย็นชาไปสักหน่อยเท่านั้น” เฉิงเจียหันหน้ากลับไป มองไปที่โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่สิบกว่าอันที่จุดอยู่บนเรือหลวงลำหนึ่งที่อยู่ไกลๆ พึมพำกล่าวขึ้นว่า “แต่ข้ารู้สึกว่าเขาเย็นชามาก…” ขณะที่นางกล่าว จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “พวกเจ้าดูทางนั้น ทางนั้นมีเรือบ้านอยู่ลำหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นต่างก็หันไปมองตามเส้นทางที่นางชี้
มีเรือบ้านอยู่ลำหนึ่งจริงๆ ด้วย
กระจกหน้าต่างหรูหรา สว่างไสวไปด้วยโคมไฟหลากหลายรูปแบบ เงาร่างของคนผลุบๆ โผล่ๆ เสียงดนตรีที่ไม่ค่อยชัดเจนนัก…ดึงดูดผู้คนที่อยู่ข้างๆ สะพานเจียงตงได้เป็นจำนวนมาก
“ไม่รู้ว่าเป็นเรือบ้านของผู้ใด” เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างอิจฉา “หากได้นั่งชมทะเลสาบโม่โฉวสักครั้ง ข้าก็ไม่เสียดายชีวิตนี้แล้ว”
พูดราวกับว่านางใกล้จะลาจากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่ปาน
โจวชูจิ่นรีบหันไปทางทิศตะวันตก พนมมือขึ้นไหว้พลางกล่าว “คำพูดของเด็กไร้ซึ่งเจตนาร้ายๆ! องค์พระโพธิสัตว์ได้โปรดอย่าฟังคำพูดเหลวไหลของนางเลยนะเจ้าคะ!”
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่
หลังจากลงจากเรือแล้ว พวกนางก็ขึ้นรถม้า
ตอนนี้ยามไฮ่สือแล้ว โจวเสาจิ่นค่อนข้างเป็นกังวลเกี่ยวกับการปิดเมืองในยามค่ำคืน
นางเลิกผ้าม่านขึ้นดูเมื่อมาถึงประตูเมือง
เห็นเพียงว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดคือฉินจื่อผิง เขานั่งอยู่บนอาชาสีแดงตัวสูงใหญ่ตัวหนึ่ง ข้างๆ เป็นรถม้าสีดำหลังคาเรียบเช่นเดียวกับของพวกนางจำนวนสองคัน
มีตะกร้าใบหนึ่งห้อยลงมาจากบนกำแพงเมือง ฉินจื่อผิงหยิบของบางอย่างคล้ายๆ กับป้ายตราสัญลักษณ์สักอย่างออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงไปในตะกร้า
ทหารยามที่อยู่บนกำแพงเมืองมองความโกลาหลยู่ครู่หนึ่ง
เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งก้านธูป ประตูข้างของประตูเมืองก็เปิดออก
รถม้าที่อยู่ข้างๆ ฉินจื่อผิงนำเข้าเมืองไปก่อนอย่างรวดเร็ว
คันที่ตามไปเป็นรถม้าที่พวกเจียงซื่อนั่ง ถัดมาเป็นรถม้าคันที่โจวเสาจิ่นนั่ง
ตอนที่รถม้าเข้ามาในเมืองนั้น โจวเสาจิ่นเห็นฉินจื่อผิงกับเจ้าหน้าที่คนที่มาเปิดประตูให้พวกเขากำลังคุยอะไรบางอย่างกันอย่างยิ้มแย้ม ดูจากท่าทางนั้นแล้วน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน