โจวเสาจิ่นเดินตามหลังโจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาวอย่างเชื่อฟัง เฉิงเจียกลับฉวยโอกาสตอนที่เจียงซื่อกับฮูหยินใหญ่เหอกำลังรักษากิริยาต่อกันนั้นค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของโจวเสาจิ่นเบาๆ กระซิบเสียงเบาว่า “เมื่อกี้เจ้าได้ยินหรือไม่…คนของตระกูลเหอล้วนกล่าวชมกันว่าเจ้าหน้าตางดงาม รอให้กลับไปแล้วเจ้าต้องช่วยเย็บถุงหอมให้ข้าสองใบ”
“คนของตระกูลเหอก็กล่าวชมเครื่องประดับของเจ้าว่างดงามเช่นกัน” โจวเสาจิ่นนั่งตัวตรง ทว่าริมฝีปากกลับกล่าวขมุบขมิบเสียงเบาว่า “เช่นนั้นเจ้ากลับไปก็ต้องมอบเครื่องประดับให้ข้าสองชิ้นด้วยใช่หรือไม่”
“ได้!” ดวงตาของเฉิงเจียเปล่งประกายระยิบระยับ กล่าวขึ้นว่า “มอบเครื่องประดับให้เจ้าสองชิ้นย่อมได้ แต่เจ้าต้องทำถุงหอมให้ข้าสองชิ้น!”
ตนลืมไปได้อย่างไรว่าเฉิงเจียเป็นผู้มีเงินถุงเงินถังผู้หนึ่ง!
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกเสียใจ ถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เจ้าต้องการนำถุงหอมไปมอบให้ผู้ใดหรือ ฝีมือเย็บปักของชุ่ยหวนก็ดีมากเช่นกันไม่ใช่หรือ”
“เจ้าอย่าสนใจเลย” เฉิงเจียไม่ยอมบอกโจวเสาจิ่น กล่าวต่อว่า “ขอเพียงเจ้าจำเอาไว้ว่าเจ้าติดหนี้ถุงหอมข้าสองชิ้นก็พอ”
เอาแต่ใจขนาดนี้ได้ด้วยหรือ
โจวเสาจิ่นอยากจะคุยกับเฉิงเจียต่ออีกสักสองประโยค ทว่าเจียงซื่อที่จับตาดูเฉิงเจียอยู่ตลอดก็สาดสายตามาครั้งหนึ่ง
เฉิงเจียกับโจวเสาจิ่นรีบตัดจบบทสนทนา จัดเสื้อผ้านั่งให้เรียบร้อย
เถ้าแก่ของตระกูลเหอจึงเชิญฮูหยินใหญ่กู้ไปช่วยกันปักปิ่น
เจียงซื่อถือกล่องบรรจุปิ่น คนของตระกูลเฉิงตามฮูหยินใหญ่กู้ไปที่ห้องของเหอเฟิงผิงผู้เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเหอ
ห้องของเหอเฟิงผิงมีผู้คนมากมาย มีทั้งป้าสะใภ้อาสะใภ้ พี่สาวน้องสาวของเหอเฟิงผิง และยังมีคุณหนูทั้งหลายที่เป็นสหายสนิทของนางอีกด้วย คนที่อยู่ภายในห้องมีจำนวนมากนัก
พอพวกโจวเสาจิ่นเดินเข้าไปก็ได้รับสายตาชื่นชมจากทุกคน
เจียงซื่อรู้สึกภาคภูมิใจอยู่เล็กๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สายตาตกไปอยู่บนร่างของฮูหยินที่สวมชุดเต็มยศขั้นสี่ผู้หนึ่งที่อยู่ภายในห้อง
นางรู้ว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นพี่สะใภ้ของฮูหยินใหญ่เหมี่ยน และก็เป็นผู้จะมาดูตัวเฉิงเจีย
เจียงซื่อมองไปที่บุตรสาวครั้งหนึ่ง เห็นเฉิงเจียนั่งอยู่ข้างๆ โจวเสาจิ่นอย่างเรียบร้อย ถึงได้รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
เด็กสาวทั้งสามคนของตระกูลเฉิงที่มาด้วยนี้มีอายุแตกต่างกัน มารดาของเหอเฟิงผิงแยกออกได้ในทันทีว่าผู้ใดเป็นผู้ใด
นางลอบรู้สึกเสียดายอยู่ในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากมองจากรูปร่าง คุณหนูตระกูลโจวดูอ่อนแอบอบบางเกินไปเล็กน้อย คงให้กำเนิดบุตรได้ดีไม่เท่าคุณหนูสี่ของตระกูลเฉิง แต่บิดาของคุณหนูรองตระกูลโจวเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง เป็นเจ้าเมืองยศผิ่นขั้นสี่เจิ้ง กำลังรุ่งโรจน์ อนาคตในภายภาคหน้าไม่อาจประมาณการได้…ไม่แปลกที่น้องสามีจะสนใจในตัวนาง อย่างไรก็ตาม ภายใต้โลกใบนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ มารดาของเหอเฟิงผิงจึงเพียงทอดถอนหายใจอยู่ในใจครั้งหนึ่งเท่านั้น
นางนั่งสงวนท่าทีอยู่ในนั้น รอจนกระทั่งเถ้าแก่กล่าวแนะนำถึงได้ยืนขึ้น
เจียงซื่อจับมือของมารดาของเหอเฟิงผิงอย่างกระตือรือร้นเป็นพิเศษ กล่าวชื่นชมว่านางให้กำเนิดบุตรสาวที่ดีงามมาผู้หนึ่ง
เหอเฟิงผิงที่นั่งอยู่ในห้องสวมชุดเพ่ยจื่อลายดอกสีแดงสด เพื่อประกอบพิธีปักปิ่นแล้ว เส้นผมดำเงางามดังเส้นไหมของนางถูกเกล้าเป็นมวยขดก้นหอยอยู่หลังศีรษะสองมวย เผยให้เห็นหน้าผากที่นวลเนียน ตลอดทั้งร่างไม่ได้สวมเครื่องประดับใดๆ ก้มศีรษะลงด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ ไม่กล้าเหลือบสายตาขึ้นมาเลยสักครั้ง
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนัก
ชาติก่อนนางเคยเห็นแต่เหอเฟิงที่สุขุมงดงาม กิริยามารยาทสง่าอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เคยเห็นเหอเฟิงผิงที่ขี้อายและแฝงความขลาดกลัวเอาไว้เช่นนี้มาก่อน
อาจจะเป็นเพราะสถานะในตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนั้นเหอเฟิงผิงต้องสงวนท่าทีของพี่สะใภ้ใหญ่กระมัง
โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม
เฉิงเจียกล่าวอยู่ข้างๆ นางว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลเหอหน้าตางดงามมากจริงๆ!”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกได้รับเกียรติไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ไม่ดูเล่าว่าเป็นผู้ใดที่เป็นคนเลือกบุตรสะใภ้”
เฉิงเจียหัวเราะเบาๆ
ทันใดนั้นเหอเฟิงผิงเงยหน้าขึ้นหันมามองพวกนาง แล้วก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียต่างก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
ทางด้านโน้น มารดาของเหอเฟิงผิงกับเจียงซื่อเจรจาพาทีกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เถ้าแก่ของตระกูลเหอมองเวลาพลางเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ได้เวลามงคลแล้ว”
สรรพเสียงต่างๆ ภายในห้องจึงเงียบสงบลง
เจียงซื่อเปิดกล่องออก ฮูหยินใหญ่กู้หยิบปิ่นทองหรูอี้สลักลายเมฆมงคลที่มีน้ำหนักหกเหลี่ยง[1]หกเฉียน[2]ชิ้นนั้นออกมาจากกล่องแล้วปักลงไปบนศีรษะของเหอเฟิงผิง
ทันใดนั้นก็ราวกับเกิดการปะทุของอะไรบางอย่างขึ้นก็ไม่ปาน ภายในห้องมีเสียงกล่าวชื่นชมดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงดังเซ็งแซ่และคึกคัก
ใบหน้าของเหอเฟิงผิงจึงยิ่งแดงเรื่อขึ้น
ฮูหยินใหญ่เหอจึงยิ้มพลางเชิญคนของตระกูลเฉิงไปนั่งพักผ่อนในห้องรับรองแขก
เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างผิดหวังว่า “นี่เสร็จแล้วหรือ”
“แล้วเจ้าคิดว่ายังมีอะไรอีกหรือ” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “หากเจ้าต้องการดูความคึกคัก วันที่มารับตัวเจ้าสาวค่อยตามมาอีกครั้ง วันนั้นถึงจะเป็นวันที่คึกคักอย่างแท้จริง!”
เฉิงเจียรู้ว่านั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ถอนหายใจอย่างผิดหวัง คล้องแขนของโจวเสาจิ่นเอาไว้แล้วเดินไปที่ห้องรับรองแขก
ทั้งสองครอบครัวจึงนับว่าได้ดองกันอย่างเป็นทางการแล้ว มารดาของเหอเฟิงผิงจึงลดระยะห่างเพราะความเกรงใจกับเจียงซื่อลง แทนที่ด้วยการเพิ่มความสนิทสนมขึ้นมาหลายส่วน นางกล่าวชื่นชมโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ถามถึงชีวิตประจำวันของเฉิงเจียขึ้นมา
เฉิงเจียไม่รู้เรื่องอะไร จึงตอบผู้อาวุโสไปอย่างสบายๆ เหมือนยามปกติทั่วไป
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับมีความคิดบางอย่าง
นางคิดคำนวณอยู่ในใจ เหอเฟิงผิงเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูล ในเวลานี้น้องชายคนโตของนางเพิ่งจะมีอายุได้สิบสองปี น้องชายคนเล็กอายุเก้าขวบ เช่นนั้นก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับเฉิงเจีย…
ระหว่างเดินทางกลับ นางลองหยั่งเชิงเจียงซื่อ “ดูเหมือนว่ามารดาของพี่สะใภ้เหอจะชื่นชอบพี่สาวเจียยิ่งนักนะเจ้าคะ”
เจียงซื่อยิ้มทว่าไม่กล่าวอะไร
เฉิงเจียกลับมุ่ยปากกล่าวว่า “เหตุใดข้าถึงไม่รู้เล่า”
โจวเสาจิ่นทำได้เพียงทอดถอนใจอยู่ในใจ
ขอบเขตของเรื่องนี้ออกจะขยายวงกว้างเกินไป หลี่จิ้งคงได้แต่ต้องขอพรให้ตัวเองมากสักหน่อยเสียแล้ว!
เรือของพวกนางแล่นมาได้ครึ่งทางท้องฟ้าก็มืดลง เนื่องจากเฉิงเจียเมาเรือก็เลยไปนอนพักตั้งนานแล้ว ส่วนโจวชูจิ่นนั่งชมวิวทิวทัศน์กับโจวเสาจิ่นอยู่ครู่หนึ่ง แต่ความตื่นตระหนกก่อนจะถึงผูโข่วกับความเหนื่อยล้าหลังจากที่งานหมั้นเล็กเสร็จสิ้นลงอย่างราบรื่นทำให้ไม่นานนางก็มีสีหน้าอ่อนล้าออกมา
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพี่ไปพักก่อนเถิดเจ้าค่ะ! ข้าจะไปถามท่านป้าใหญ่หลูสักหน่อย ดูว่ายังเหลืออีกกี่ชั่วยามกว่าจะเดินทางกลับไปถึง และมื้อเย็นของวันนี้จะต้องทำอย่างไรบ้าง”
ตระกูลเหอรั้งให้พวกเขาอยู่รับมื้อเย็นด้วย แต่พวกเขาไม่อยากค้างคืนที่ผูโข่ว จึงยังคงยืนกรานที่จะเดินทางจากมา

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน