โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นครั้งแรกที่ออกจากบ้านหรือ”
โจวเสาจิ่นขานรับ เจ้าค่ะ เสียงหนึ่ง
เฉิงฉือกล่าว “ไม่เมาเรือหรือ”
“ไม่เมาเจ้าค่ะ”
ผ่านไปหลายประโยค ในที่สุดอารมณ์ของโจวเสาจิ่นก็ค่อยๆ คงที่ขึ้นมา
ทว่าเฉิงฉือกลับไม่พูดอะไรอีก เพียงยืนมองไกลออกไปอยู่ตรงหัวเรือเท่านั้น
ลมเบาๆ ลอยมาปะทะใบหน้า ทำให้ได้กลิ่นหอมของหญ้าและกลิ่นน้ำหอม ‘ดังที่ได้ยินมา’ อยู่จางๆ
โอกาสดีขนาดนี้ โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนควรจะพูดอะไรบางอย่างถึงจะถูก
แต่จะพูดอะไรดีนะ
สมองของนางขบคิดไปมาอย่างหนัก ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังหาหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจไม่ได้ จึงได้แต่กล่าวออกไปว่า “ปลากับกุ้งที่พวกเรารับประทานกันตอนมื้อเที่ยงนั้นจับขึ้นมาจากทะเลสาบแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะปรุงออกมาไม่พิถีพิถันเท่าไร ทว่าความโดดเด่นอยู่ที่ความสดใหม่ รสชาติยอดเยี่ยมยิ่งนัก ท่านน้าฉือได้รับประทานบ้างหรือไม่ รู้สึกว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“พอใช้ได้” เฉิงฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อยู่บนเรือก็มีเพียงของพวกนี้ให้กินได้เท่านั้น!”
โจวเสาจิ่นฉวยโอกาสนี้กล่าวขึ้นว่า “เวลาไปไหวอันท่านน้าฉือก็นั่งเรือไปหรือเจ้าคะ แล้วออกเดินทางจากที่ใด ทิวทัศน์ระหว่างเดินทางคงดีมากกระมัง ตอนอยู่บนเรือก็ได้รับประทานของที่จับขึ้นมาจากน้ำสดๆ อยู่บ่อยๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เวลาข้าไปไหวอันจะเดินทางทางบก” เฉิงฉือกล่าว “ทางบกเร็วกว่าเล็กน้อย”
โจวเสาจิ่นลอบกำมืออยู่เงียบๆ กล่าวขึ้นว่า “ถึงแม้การเดินทางทางบกจะเร็วกว่า ทว่าก็ไม่สบายเท่าการเดินทางทางน้ำ แล้วเหตุใดท่านน้าฉือถึงเลือกเดินทางทางบกหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มพลางชำเลืองมองนางครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเพิ่งจะออกจากบ้านเป็นครั้งแรก แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเดินทางทางน้ำสบายกว่าเดินทางทางบก”
โจวเสาจิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าทุกคนต่างก็พูดกันเช่นนี้หรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือหัวเราะออกมา
แววตาสว่างสุกใส สีหน้าดูสบายๆ นุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นรู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่ถ้าเจ้าบอกให้นางอธิบายออกมาให้ละเอียดว่าตรงไหนที่ว่าแปลกๆ ละก็ นางก็อธิบายออกมาไม่ได้ จึงทำได้เพียงข่มความสงสัยนั้นไว้ในใจ แล้วพยายามชวนคุยต่อว่า “ได้ยินพวกมามาคุยกันว่า อีกหนึ่งชั่วยามพวกเราก็จะถึงตระกูลเหอแล้ว ไม่รู้ว่าตระกูลเหอจะสร้างความยุ่งยากอะไรให้พวกเราหรือไม่”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้!” เฉิงฉือกล่าว “เรื่องหลักๆ ได้ตกลงกันเรียบร้อยตั้งแต่วันที่มาสู่ขอในวันนั้นแล้ว วันนี้ก็เป็นเพียงพิธีการหนึ่งเท่านั้น อีกไม่กี่วันรอให้มอบสินสอด กำหนดวันจัดพิธีเรียบร้อยแล้ว ธุระอันเกี่ยวกับงานแต่งก็คงจะจัดเตรียมได้เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากกลั้นหัวเราะ
เห็นได้ชัดว่าท่านน้าฉือเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เช่นกัน
นางจำได้ว่าตอนที่พี่สาวแต่งงานนั้น นอกจากตระกูลเลี่ยวจะส่งคนมาสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นในวันหมั้นเล็กแล้ว วันส่งมอบสินสอด วันกำหนดวันจัดพิธีนั้นนางล้วนจำได้ไม่แม่นยำนัก แต่หลังจากที่วันแต่งงานได้ถูกกำหนดออกมาแล้ว ทั้งสองตระกูลต่างก็ยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมงาน ท่านป้าใหญ่ไปกลับระหว่างจินหลิงกับเจิ้นเจียงนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนตระกูลเลี่ยวเองก็ส่งคนมาครั้งแล้วครั้งเล่า…นอกจากนี้ ในวันแต่งงานนั้นคนที่เป็นเถ้าแก่ยังต้องสวมชุดมงคลสีแดงสดไปช่วยเจ้าบ่าวรับตัวเจ้าสาวกลับมาด้วย…ท่านน้าฉือจะรู้เรื่องพวกนี้หรือไม่
โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็รู้สึกว่าน่าสนุกไม่น้อย คลี่ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ว่า “ในพิธีมงคลของพี่ชายเก้าวันนั้น ท่านกับนายท่านใหญ่กู้ต้องสวมชุดมงคลไปรับตัวเจ้าสาว ท่านคิดว่าจะขี่ม้าไปหรือเดินไปเจ้าคะ”
เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย
เดิมทีเขาคิดเพียงว่าถือเป็นการให้หน้าแก่มารดาครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีนายท่านใหญ่กู้ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาตระกูลกู้ก็ไปเป็นคู่ด้วย เขาคิดว่าอย่างมากตนก็เพียงเอาตำแหน่งจิ้นซื่อที่มีติดตัวให้เฉิงเก้าใช้สักครั้งก็พอ ไม่ได้คิดอะไรมากก็เลยตอบตกลงไป ใครจะรู้ว่าการเป็นเถ้าแก่จะเป็นเรื่องยุ่งยากถึงเพียงนี้
ดูทีแล้วประเดี๋ยวตนต้องให้ไหวซานไปสืบดูสักหน่อยว่าการเป็นเถ้าแก่นั้นจริงๆ ต้องทำอะไรบ้างกันแน่
แค่มองโจวเสาจิ่นก็รู้ได้ว่าเฉิงฉือไม่รู้อะไรจริงๆ ตามคาด ในใจก็บังเกิดความยินดีที่เกินจะบรรยายขึ้นมา
นางถามขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ไม่เพียงต้องไปรับตัวเจ้าสาวเท่านั้น เมื่อพวกท่านไปถึงบ้านเจ้าสาวแล้ว ฝ่ายเจ้าสาวอาจจะปิดประตูใหญ่เอาไว้เพื่อขอซองแดง คนเป็นเถ้าแก่จึงต้องช่วยเจ้าบ่าวเจรจากับฝ่ายเจ้าสาว หากว่าฝ่ายเจ้าสาวต้องการให้ฝ่ายเจ้าบ่าวเขียนกลอนคู่หรือเขียนกลอนสักบทหนึ่ง เถ้าแก่ก็ต้องช่วยเจ้าบ่าวหยิบจับพู่กัน ต้องมั่นใจว่าจะช่วยเจ้าบ่าวสู่ขอเจ้าสาวมาได้อย่างราบรื่นเจ้าค่ะ…”
เฉิงฉือมองนัยน์ตาระยิบระยับของนางแล้ว ก็อดหัวเราะอยู่ในใจไม่ได้
เด็กสาวผู้นี้คงจะคิดว่าตนที่ดูเป็นคนเย็นชาเช่นนี้ ต้องทนไม่ได้กับความอึกทึกครึกโครมของงานแต่งเป็นแน่กระมัง ทว่านางไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเขาเป็นคนรักษาคำสัญญา ขอเพียงเป็นเรื่องที่เขารับปากแล้ว ต่อให้ในใจไม่ยินยอมอย่างไรก็จะทำให้ดีที่สุดอย่างสุดความสามารถ
ก็เพียงประจบตระกูลเหอเพื่อสู่ขอเจ้าสาวกลับมาให้ได้เท่านั้นไม่ใช่หรือ
นี่มีอะไรที่ยากเย็นอย่างนั้นหรือ
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เสียดายที่ข้าไม่ได้เป็นขุนนาง ไม่เช่นนั้นคงได้สวมชุดขุนนางไปรับเจ้าสาวให้เก้าเกอเอ๋อร์แล้ว คนที่มาดูคงมีมากขึ้นอย่างแน่นอน” ขณะที่เขากล่าว ก็ลูบคางไปด้วย กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ข้ามีป้ายประกาศเกียรติคุณ ข้ายังจำได้ว่าตอนที่ข้ากลับมาจากจิงเฉิงใหม่ๆ นั้น ลุงใหญ่จิงของเจ้าทำป้ายให้ข้าสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า ผู้สอบผ่านจิ้นซื่อ อีกชิ้นหนึ่งเขียนว่า ผู้สอบผ่านขั้นสองลำดับที่สิบสองประจำปีการสอบที่สิบห้ารัชศกจื้อเต๋อ หากข้าจำไม่ผิด ป้ายประกาศเกียรติคุณทั้งสองชิ้นนี้ล้วนเก็บเอาไว้ในหอบรรพชน ตอนวันขึ้นปีใหม่พ่อบ้านใหญ่ฉินยังบอกข้าว่า ได้นำป้ายทั้งสองชิ้นนี้ออกมาเคลือบสีใหม่ ให้ข้ารีบไปหางานอะไรมาสักอย่าง ถึงเวลาจะได้นำป้ายสองชิ้นนั้นออกมาใช้ได้เลย…”
โจวเสาจิ่นตกตะลึง
นางรู้ว่าคนที่สอบผ่านจิ้นซื่อจำนวนไม่น้อยจะชูป้ายประมาณนี้ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อโอ้อวดความสำเร็จ แต่ท่านน้าฉือไม่น่าจะเป็นคนประเภทนี้ถึงจะถูกไม่ใช่หรือ
โจวเสาจิ่นอดที่จะลอบสำรวจเฉิงฉืออย่างละเอียดไม่ได้
เขามีดวงตาโต หางตายกขึ้นเล็กน้อย ขนตาทั้งหนาและโค้งงอน ตอนนี้เขากำลังครุ่นคิดอย่างตั้งอกตั้งใจ แววตาไม่เพียงดูคมกล้า ทั้งยังเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง เป็นความจริงจังประเภทที่ทำให้คนรู้สึกว่าไม่เชื่อไม่ได้
โจวเสาจิ่นเกือบจะกระโดดตัวโหยงขึ้นมาแล้ว
นี่จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า
นี่เป็นพิธีแต่งงานของพี่ชายเก้า ไม่ใช่พิธีแห่ระหว่างเดินทางกลับบ้านเกิดของท่านน้าฉือเสียหน่อย!
หากชูป้ายทั้งสองชิ้นออกไป แล้วผู้ใดจะรู้เล่าว่านี่เป็นพิธีแต่งงานของพี่ชายเก้า
“ไม่…ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นโบกมือห้ามไม่หยุด
เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นอย่างไม่เข้าใจ ประหนึ่งกำลังถามนางว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าพูดมาหรอกหรือ เหตุใดถึงบอกว่าไม่ต้องแล้ว

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน