เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 173

โจวเสาจิ่นกลับมาจากเรือนหานปี้ซาน ช่างตัดชุดที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนหามากำลังรอนางอยู่

พี่สาวกล่าวเย้าแหย่ว่า “บอกว่าเพราะพวกเราต้องตามไปงานหมั้นเล็กที่ผูโข่วด้วย ไม่อาจทำให้ตระกูลเฉิงขายหน้าได้ ต้องตัดชุดสวยๆ สักสองสามชุด”

ช่างตัดชุดผู้นั้นเป็นหญิงอายุประมาณสี่สิบปีผู้หนึ่ง เข้าออกตระกูลเฉิงอยู่บ่อยๆ จึงค่อนข้างคุ้นเคยกันดีกับโจวเสาจิ่นสองพี่น้อง พอได้ยินคำของโจวชูจิ่นก็รีบหัวเราะอย่างประจบประแจงออกมา จากนั้นก็หยิบสายวัดออกมาด้วย มองสำรวจโจวเสาจิ่นขึ้นลงไปด้วย พลางกล่าว “ข้าดูแล้วคุณหนูรองสูงขึ้นจากปีที่แล้วเล็กน้อย เกรงว่าชุดที่ตัดมาใหม่ของปีที่แล้วอาจจะสวมใส่ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”

พวกช่างตัดชุดล้วนปรารถนาให้เจ้าตัดชุดใหม่ทุกวัน

โจวเสาจิ่นยกแขนเสื้อของชุดฤดูใบไม้ผลิให้ช่างตัดชุดผู้นั้นดู กล่าวขึ้นว่า “เกรงว่าปีหน้าก็ยังใส่ได้อีกหนึ่งปี”

“ก็ยังสั้นไปเล็กน้อย” ช่างตัดชุดกล่าวยิ้มๆ “เสื้อผ้าของคุณหนูหลายท่านที่จวนดอกเหมยนั้น เพียงสั้นไปหนึ่งเฟิน[1]ก็ตัดชุดใหม่กันแล้ว คุณหนูรองงดงามเพียงนี้ ควรจะตัดชุดอีกสักหลายๆ ชุดถึงจะถูก ยามออกไปสังสรรค์ข้างนอกก็จะได้เป็นหน้าเป็นตา”

โจวชูจิ่นคล้อยตาม

โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ข้าไม่ชื่นชอบออกไปสังสรรค์ข้างนอก เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว” ยังกลัวว่าช่างตัดชุดผู้มีลิ้นดั่งนกสาลิกาลิ้นทองผู้นี้จะเป่าหูพี่สาว แล้วสั่งให้ช่างตัดชุดผู้นี้นำผ้ามาให้อีกหลายมัด จึงกล่าวขึ้นว่า “พวกนี้ล้วนเป็นลายแบบใหม่ของปีนี้ใช่หรือไม่ เหตุใดหากไม่ใช่สีแดงก็เป็นสีเขียวทั้งหมดเลยเล่า มีแบบที่สีเรียบกว่านี้หรือไม่”

ที่ผ่านมาช่างตัดชุดผู้นี้ก็เคยตัดชุดให้โจวเสาจิ่นสองพี่น้องมาก่อน ความชอบของทั้งสองพี่น้องเป็นอย่างไรก็พอจะรู้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย จึงรีบอธิบายยิ้มๆ ว่า “ได้ยินว่าคุณหนูทั้งสองท่านจะไปร่วมงานหมั้นเล็กของคุณชายใหญ่ ฉะนั้นถึงได้นำแบบที่เหมาะจะใช้ในโอกาสแห่งความยินดีมาหลายมัดเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นกล่าว “วันนั้นเป็นวันสำคัญที่น่ายินดีของพี่สะใภ้ พวกเราที่เป็นน้องสาวเหล่านี้ไม่ควรจะไปแย่งความโดดเด่น! ข้าว่าสวมใส่ชุดที่เรียบๆ สักหน่อยน่าจะดีกว่า”

ช่างตัดชุดผู้นั้นจึงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

นางเอาผ้ามาแค่ไม่กี่มัดนี้เท่านั้น

“คุณหนูรอง เช่นนั้นข้าจะวัดตัวให้ท่านก่อนดีหรือไม่ พรุ่งนี้ค่อยเอาผ้ามาให้ท่านเลือกอีกหลายๆ มัด”

“ไม่ต้องลำบากถึงเพียงนั้น ที่เชิญพวกเจ้ามาตัดชุดให้ ก็เพราะปรารถนาให้เสร็จไวสักหน่อย ไม่อย่างนั้นพวกข้าก็คงตัดชุดด้วยตัวเองไปแล้ว” โจวเสาจิ่นกับพี่สาวปรึกษากัน “เช่นนั้นก็ใช้ผ้าในห้องเก็บของของพวกเราเองก็แล้วกัน!”

โจวชูจิ่นเองก็รู้สึกว่ายุ่งยาก

หากผ้าที่ช่างตัดชุดส่งมาให้เลือกพรุ่งนี้ก็ยังไม่ถูกใจพวกนางเช่นเดิม ไม่ต้องรอไปจนถึงวันมะรืนหรอกหรือ

ทั้งสองพี่น้องไปที่ห้องเก็บของ โจวชูจิ่นเลือกผ้าไหมหังโจวสีชมพูลายเมฆมงคลหนึ่งผืน ส่วนโจวเสาจิ่นเลือกผ้าไหมหังโจวสีฟ้าน้ำทะเลลายดอกกล้วยไม้หนึ่งผืนให้ช่างตัดชุด จากนั้นถึงได้ไปรับมื้อเย็น

ผ่านไปไม่กี่วัน ช่างตัดชุดก็ส่งเสื้อผ้ามาให้

เฉิงฉือกับนายท่านใหญ่ของตระกูลกู้ก็กลับมาจากผูโข่วแล้ว กล่าวกันว่านายท่านใหญ่ของตระกูลกู้นั้นเจ้าสำบัดสำนวนและมีไหวพริบ พูดเรื่องงานแต่งที่เรียบง่ายให้กลายเป็นเสมือนฝนดอกไม้ที่ตกลงมาจากสรวงสวรรค์ ประหนึ่งว่างานแต่งของคุณหนูใหญ่เหอกับเฉิงเก้าเป็นบุพเพที่สวรรค์เป็นผู้กำหนดมา หากคุณหนูของตระกูลเหอไม่แต่งเข้าตระกูลเฉิงจะไม่อาจมีความสุขได้ และหากตระกูลเฉิงสู่ขอคุณหนูของตระกูลเหอไม่ได้ก็จะไม่มีวันเวลาที่ดีได้อีกเลย ทำให้ทุกคนในตระกูลเหอต่างก็ไม่อาจซ่อนความยินดีเอาไว้ได้

เสี่ยวถานที่เป็นคนมาบอกเล่าถ้อยคำเหล่านี้ยังกล่าวขึ้นในตอนท้ายอีกว่า “ทุกคนต่างกล่าวกันว่า ดูไม่ออกเลยว่านายท่านใหญ่ของตระกูลกู้มีพรสวรรค์ด้านนี้อยู่ด้วย พูดกันว่านายหญิงผู้เฒ่าของพวกท่านช่างมีแววนัก เชิญเถ้าแก่ได้ถูกคนยิ่ง งานแต่งของคุณชายใหญ่เก้ากับคุณหนูใหญ่ตระกูลเหอต้องผ่านไปอย่างราบรื่นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

เนื่องจากโจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าจะคัดพระธรรมให้ช้าลงสักหน่อย ดังนั้นเวลานี้ถึงได้มานั่งดื่มน้ำชากับพวกนางอยู่ในห้องพระ

ได้ยินเช่นนั้นนางก็รีบถามขึ้นว่า “แล้วท่านน้าฉือเล่า”

เสี่ยวถานเม้มริมฝีปากกลั้นหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ของพวกข้านั้น ตั้งแต่ต้นจนจบพูดไปเพียงสองประโยคเท่านั้นเจ้าค่ะ”

“สองประโยคที่ว่านั่นคืออะไรหรือ” แม้แต่ปี้อวี้ยังอดไม่ได้ที่จะซักไซ้ถามต่อ

“ประโยคแรกคือ ไม่เลยๆ เกี่ยวดองกับตระกูลเหอได้ ถือเป็นความโชคดีของตระกูลเฉิงของพวกข้าถึงจะถูก ส่วนอีกประโยคหนึ่งคือ เช่นนั้นพวกข้าลากลับก่อน” พอกล่าวจบ เสี่ยวถานก็หัวเราะออกมาจนตัวโยน

โจวเสาจิ่นเองก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน

ชุนหว่านและคนอื่นๆ อีกหลายคนก็หัวเราะจนควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นกัน

ปี้อวี้กล่าวขัดขึ้นมายิ้มๆ ว่า “เจ้าเด็กน่าตายผู้นี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่านายท่านสี่กล่าวออกมาถึงห้าประโยคถึงจะถูก เหตุใดถึงกลายเป็นสองประโยคไปได้”

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอย่างละเอียด ก็พบว่าเป็นห้าประโยคพอดิบพอดีจริงๆ

จึงหัวเราะคิกออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่

เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียง นางก็รีบเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวฟังอย่างอดรนทนไม่ได้

โจวชูจิ่นเองก็หัวเราะอย่างหนักหน่วง

โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “วันงานหมั้นเล็กนั้นพวกท่านน้าฉือก็น่าจะไปด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“อื้อ!” พวกลำดับพิธีการเหล่านี้โจวชูจิ่นจะรู้ดีกว่าโจวเสาจิ่นมากนัก นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ว่าในวันนั้นจะดูท่านป้าใหญ่หลูเป็นหลัก พวกท่านน้าฉือเพียงไปเป็นพิธีเท่านั้น”

ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้คุยกับท่านน้าฉือหรือไม่

โจวเสาจิ่นขบคิดอยู่ในใจ

กระทั่งถึงวันไปงานหมั้นเล็ก นางกับพี่สาวตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ หลังจากรับมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็ล้างหน้าแต่งตัวแล้วไปที่เรือนเจียซู่

เจียงซื่อกับเฉิงเจียมาถึงก่อนแล้ว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังรับมื้อเช้าเป็นเพื่อนพวกนางอยู่พอดี

เมื่อเห็นพวกนางสองพี่น้อง ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็รีบถามขึ้นว่าพวกนางรับมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง ทว่าเจียงซื่อกลับลอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมีความตั้งใจจะเป็นแม่สื่อให้เฉิงเจีย อีกฝ่ายก็มาจากตระกูลขุนน้ำขุนนาง บิดาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือนอยู่ในกรมคลัง นางฟังแล้วสนใจยิ่งนัก จึงตั้งใจตัดชุดเพ่ยจื่อสีเขียวชอุ่มลายดอกตัวหนึ่งให้เฉิงเจียเป็นพิเศษ สวมเครื่องประดับทองฝังหยกขาว เข้ากันฟันขาวสะอาดของบุตรสาวที่เจิดจรัสและงดงามดุจไข่มุก ยิ่งดูนางก็ยิ่งชื่นชอบ คิดว่าถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับโจวเสาจิ่น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงข่มโจวชูจิ่นได้สักส่วนหนึ่ง ใครจะรู้ว่าวันนี้โจวชูจิ่นจะสวมเพียงชุดเพ่ยจื่อสีชมพูลายเมฆมงคลและกระโปรงจีบหม่าเมี่ยนตัวยาวขอบสีเขียวเข้มตัวหนึ่งเท่านั้น เกล้าผมขึ้นเป็นมวยเอียงมวยหนึ่ง ประดับไว้ด้วยปิ่นดอกไม้ทองฝังมรกตสีเขียวน้ำทะเล พร้อมกับหวีสับเลอค่า ท่ามกลางความสุขุมเยือกเย็นนั้นมีความมีชีวิตชีวาลอดผ่านอยู่ ทั้งงามสง่าและไม่ขาดเสน่ห์ ส่วนโจวเสาจิ่นก็แต่งองค์ทรงเครื่องที่เรียบง่ายยิ่งกว่า ชุดเพ่ยจื่อสีฟ้าน้ำทะเลลายดอกกล้วยไม้ กระโปรงจีบรอบตัวสีน้ำเงินเข้ม เกล้าผมเป็นห่วงเล็กๆ ประดับด้วยเครื่องประดับหัวดอกไม้ทำจากไข่มุกใต้ แต่ชุดเพ่ยจื่อสีฟ้าน้ำทะเลตัวนั้นกลับช่วยขับผิวของนางให้ดูสว่างใสราวกับหิมะ สีทึมเทาของไข่มุกใต้ช่วยขับเน้นดวงตาของนางให้ดูเงาวับประหนึ่งแต้มสีเคลือบเงา ทำให้ดูมีสีสันมากกว่าในยามปกติหลายเท่า ไม่ต้องพูดถึงโจวเสาจิ่น แค่โจวชูจิ่นกับเฉิงเจียยืนอยู่ด้วยกัน ก็เป็นดั่งกล้วยไม้ในวสันตฤดูและเบญจมาศในสารทฤดู ที่ต่างก็มีความงามของตัวเอง

เสียอย่างเดียวที่ในบรรดาคุณชายทั้งหลายของพวกเขาทั้งจวนนี้ยังไม่มีผู้ใดได้เป็นขุนนาง!

ไม่รู้ว่าฮูหยินของตระกูลเหอเห็นแล้วจะคิดว่ารูปลักษณ์ของเฉิงเจียธรรมดาสามัญยิ่งนักหรือไม่

เจียงซื่อสะบัดศีรษะ หลังจากที่กล่าวทักทายโจวเสาจิ่นสองพี่น้องหลายประโยค เมื่อเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว จึงกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากวน ออกประตูไปขึ้นเกี้ยว จากนั้นไปนั่งเรือที่สะพานเจียงตงมุ่งหน้าไปผูโข่ว

โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ในห้องพักโดยสารภายในเรือ มองไปยังเรือหลากหลายรูปแบบที่ลอยล่องไปมาอยู่บนผิวน้ำแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม

ตอนที่ 173 ผูโข่ว 1

ตอนที่ 173 ผูโข่ว 2

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน