เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 172

จี๋อิ๋งไม่สังเกตเห็นสายตาที่โจวเสาจิ่นส่งมาแม้แต่น้อย

นางตื่นตระหนกยิ่งนัก!

ตอนกลับบ้านท่าทางของนางประหนึ่งได้หนีขึ้นสู่สรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่าลิงโลดยินดีมากเพียงใด ไม่แม้แต่จะได้ไปร่ำลาเฉิงจื่อชวนด้วยซ้ำ ปรากฏว่ากลับบ้านไปอยู่ได้ไม่กี่วัน นางก็ต้องกลับมาอีกครั้งด้วยใจที่เศร้าหมอง ทั้งยังหลบอยู่แต่ในเรือนเสมือนกับคนที่ปิดหูขโมยระฆัง ไม่ออกมาพบหน้าเฉิงจื่อชวนเลยสักครั้ง

เรื่องของกลุ่มเดินสมุทรนั้นคงจะปิดเฉิงจื่อชวนไม่ได้ ด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเฉิงจื่อชวน สุดท้ายแล้วเขาจะรับนางเอาไว้หรือไม่นั้น อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่บิดาของนางก็ยังไม่แน่ใจอยู่บ้าง เขาเพียงแต่ย้ำกำชับกับนางเอาไว้ว่า เจ้ากัดฟันพูดเพียงว่าเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านเท่านั้น ครั้นได้พบหน้าบิดามารดากับพี่ชายน้องชายแล้วก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว หากว่าเขาไม่อนุญาต ข้ากับเขายังมีสัญญาสิบปีนั้นอยู่ ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไม่ต้องกลัว

จะไม่ให้นางกลัวได้อย่างไร

หากว่าบิดามั่นใจว่านางจะไม่เป็นไร เขาจะยังย้ำกำชับกับนางเช่นนั้นหรือ

หากว่าเฉิงจื่อชวนไม่รับนางเอาไว้ นางจะทำอย่างไรดีนะ

ที่ผ่านมาโจวเสาจิ่นไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของจี๋อิ๋งมาก่อน ราวกับว่านางได้กระทำความผิดมหันต์บางอย่างก็ไม่ปาน

นางรีบก้าวไปจับมือของจี๋อิ๋งเอาไว้ พลางกระซิบปลอบนางว่า “ไม่เป็นไร ท่านน้าฉือเป็นคนดียิ่ง ประเดี๋ยวเจ้าจงจำเอาไว้ว่าอย่าไปบันดาลโทสะ แต่ให้พูดคุยกับเขาดีๆ…”

ทว่าถ้อยคำของนางยังไม่ทันกล่าวจนจบ บ่าวหญิงสูงวัยที่อยู่ข้างนอกประตูก็เร่งนางว่า “แม่นางจี๋อิ๋ง” ขึ้นมาก่อนเสียแล้ว

มือของโจวเสาจิ่นทั้งนุ่มและอบอุ่นยิ่ง จิตใจของจี๋อิ๋งจึงค่อยๆ สงบลงมา

อย่างไรก็ไม่อาจหันกลับไปได้แล้ว เลวร้ายที่สุดก็ปล่อยให้มัจฉาตายหรือตาข่ายขาดไปข้างใดข้างหนึ่ง[1]ก็แล้วกัน มีอะไรให้ต้องกังวลกัน!

ไม่ใช่สิ ต่อให้หันกลับไปได้ นางก็ไม่เสียใจที่ฟันแขนของเจียวจื่อหยางขาด

เช่นนั้นยังมีสิ่งใดให้ต้องเสียใจหรือหวั่นกลัวอีกหรือ!

ทันใดนั้นในใจของจี๋อิ๋งก็เปี่ยมไปด้วยความอาจหาญ ยิ้มพลางพยักหน้าให้โจวเสาจิ่น แล้วเดินไปเปิดประตู

บ่าวหญิงสูงวัยที่รออยู่ข้างนอกประตูมีดวงตาประหนึ่งผ่านโลกมามาก อายุราวห้าสิบปี รูปร่างสูงโปร่งและผอมเพรียว ผมสีดำขลับเกล้าเป็นมวยเอาไว้ตรงท้ายทอยอย่างเรียบร้อย โพกศีรษะด้วยผ้าโพกเนื้อหยาบลายบงกชคู่สีขาวกับสีคราม ประดับไว้ด้วยปิ่นไม้ท้อ สวมชุดสี่เชวี่ยผ้าเนื้อหยาบไร้ลวดลายสีน้ำเงินคราม ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ดูมากทั้งประสบการณ์และความสามารถ

“คุณหนูรอง” นางคารวะโจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อม ทว่าสีหน้ากลับดูไม่โอหังหรือประจบสอพลอแต่อย่างใด ประหนึ่งเป็นภรรยาผู้จัดการของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ไม่เหมือนบ่าวหญิงคนหนึ่งแม้แต่น้อย

จี๋อิ๋งชี้ไปที่บ่าวหญิงสูงวัยผู้นั้น พลางกล่าวว่า “นี่คือซางมามาผู้ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายนายท่านสี่”

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางทักทายนาง เมื่อครุ่นคิดแล้ว ก็ดึงจี๋อิ๋งไปข้างหนึ่ง พลางกระซิบข้างหูนางว่า “เจ้าไม่ต้องกลัวนะ พี่ชายเก้าของข้ากำลังจะแต่งงาน พวกข้าได้เชิญท่านน้าฉือมาเป็นเถ้าแก่…”

ความกลัวของนางกับเรื่องเป็นเถ้าแก่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิดเดียว ทว่าพอเปลี่ยนตัวผู้ที่จะเป็นเถ้าแก่เป็นเฉิงฉือแล้ว…เหตุใดจึงทำให้คนรู้สึกว่าน่าขันได้มากขนาดนี้!

จี๋อิ๋งขำพรืดอย่างห้ามไม่อยู่

นางรู้ดีว่า เรื่องนี้จะต้องทำให้อารมณ์ของจี๋อิ๋งผ่อนคลายลงได้บ้าง!

โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้ม พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถอะ! อย่าให้ท่านน้าฉือต้องรอนาน”

“ขอบใจมาก!” จี๋อิ๋งเอ่ยขอบคุณนางอย่างจริงใจ แล้วมุ่งไปยังลานของเรือนหลีอินกับซางมามา

ส่วนโจวเสาจิ่นก็ไปคัดพระธรรมที่ห้องพระ

กระทั่งแสงภายในห้องค่อยๆ มืดสลัวแล้ว นางถึงได้วางพู่กันในมือลง แล้วขบคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องขยันคัดขนาดนี้ก็ได้ หากคัดได้จำนวนเท่านี้ต่อไป คงจะคัดเสร็จภายในเดือนสี่นี้เป็นแน่

นางพลิกพระธรรมที่เหลืออยู่เพียงปึกเล็กๆ ปึกหนึ่งดูแล้วพลางถอนหายใจ

ชุนหว่านได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงเดินเข้ามา พลางแจ้งว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ แม่นางจี๋อิ๋งรอท่านอยู่ข้างนอกตลอดทั้งบ่ายเลยเจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องพระไป

ช่วงย่ำค่ำยามสนธยาของฤดูใบไม้ผลิค่อนข้างสั้น จี๋อิ๋งนั่งอยู่ใต้ชายคาของห้องพระพลางเหม่อมองแสงอัสดงที่แต้มอยู่ทั่วนภา แสงอาทิตย์สีส้มยามโพล้เพล้ส่องบนใบหน้าของนาง ทำให้ดวงหน้าของนางเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางถามว่า “เจ้ามาถึงแล้วไฉนจึงไม่เข้าไปหาเล่า”

จี๋อิ๋งคลี่ยิ้มพลางหันมากล่าวว่า “เจ้าคัดลอกพระธรรมเสร็จแล้วหรือ ข้ากลัวจะรบกวนเจ้า พอได้ยินชุนหว่านกล่าวว่า เจ้าคัดใกล้จะเสร็จแล้ว ข้าเลยคิดว่าเจ้าคงอยากจะคัดให้เสร็จเร็วๆ แล้วกลับเรือนหว่านเซียงเป็นแน่ ข้ามาหาเจ้าก็ไม่ใช่ด้วยเรื่องอื่นใด เฉิงจื่อชวน เอ่อ นายท่านสี่ท่านผู้นี้เป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว ตอนที่เรียกข้าไปพบ กล่าวเพียงว่าต่อไปข้าต้องเชื่อฟังหนานผิง เรือนหานปี้ซานไม่เหมือนเจ่าหยวน หากว่าข้ายังกล้าทำผิดอีก จะส่งข้ากลับบ้าน” ขณะที่นางกล่าว ก็เม้มปากกลั้นยิ้ม สีหน้าแต้มความชื่นบานอย่างอธิบายไม่ได้ “ไม่แน่ว่าต่อไปข้าอาจจะต้องฝึกเย็บปักกับเจ้าจริงๆ แล้วก็เป็นได้!”

“ดีๆ!” โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกปีติยินดีไปกับนาง กล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดว่า ท่านน้าฉือไม่ใช่คนประเภทที่ใจแข็งดั่งหินศิลา หากว่าเขามีกำลังพอ ต้องรับเจ้าเอาไว้เป็นแน่”

ถ้อยคำนี้จี๋อิ๋งไม่อาจเห็นด้วย แต่ครั้งนี้เฉิงฉือก็เมตตานางจริงๆ ถึงได้ยอมเปิดแหทิ้งเอาไว้ข้างหนึ่ง[2] นางจึงซาบซึ้งบุญคุณยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ขณะที่โจวเสาจิ่นกล่าวเช่นนี้อยู่นั้น นางจึงพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

โจวเสาจิ่นเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องที่สมควรฉลอง…อ้อ เจ้ามารับประทานมื้อเย็นที่เรือนของข้าดีหรือไม่ ไม่ได้สิ เจ้าต้องกลับไปบอกหนานผิงเสียก่อน ดูว่าอีกประเดี๋ยวเจ้าต้องเข้าเวรหรือไม่ หากว่าไม่ต้องเข้าเวร เจ้าค่อยไปรับประทานมื้อเย็นกับข้า แต่ถ้าต้องเข้าเวร พวกเราค่อยเปลี่ยนไปฉลองในวันที่เจ้าไม่เข้าเวรก็แล้วกัน อย่างไรเจ้าก็อยู่ต่ออยู่แล้ว ยังไม่ต้องรีบฉลองในวันสองวันนี้ก็ได้ ข้าเพียงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดี ควรแก่การเฉลิมฉลองก็เท่านั้น!”

จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็ฉีกยิ้มพลางกล่าวว่า “นายท่านสี่ไม่ได้สั่งให้ข้าอยู่เวร ข้าคิดว่าน่าจะไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ” โจวเสาจิ่นถามยืนยัน “นี่เป็นวันแรกที่เจ้ากลับมา ไม่ใช่ว่าวันแรกเจ้าก็ทำผิดเสียแล้วหรอกนะ”

ตอนที่ 172 อยู่ต่อ 1

ตอนที่ 172 อยู่ต่อ 2

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน