ถึงแม้ว่าเฉิงฉือจะกล่าวเช่นนี้ แต่ข่าวลือที่ว่า คุณหนูรองตระกูลโจวเป็นยอดฝีมือด้านหมากล้อม ที่เกือบจะชนะนายท่านสี่ฉือ ก็แพร่ออกไปทั่วซอยจิ่วหรูราวกับปีกที่สยายออกก็ไม่ปาน แม้แต่โจวชูจิ่นเองก็ยิ้มพลางเอ่ยถามน้องสาวว่า “เจ้าเล่นหมากล้อมเป็นตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระวนกระวายจนหน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ รีบกล่าวอธิบายไม่หยุดไม่หย่อน
หากเป็นเพียงถ้อยคำหยอกล้อจากคนสนิทอย่างโจวชูจิ่นเช่นนี้ก็แล้วกันไป แต่ก็มีคนอย่างเจิ้งซื่อผู้เป็นสะใภ้ใหญ่สือเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน ที่เมื่อพบนางกลางทางก็ยิ้มพลางจับมือนางแล้วกล่าวว่า “อันที่จริงคุณหนูรองไม่ต้องถ่อมเนื้อถ่อมตัวขนาดนี้ ในอีกสองสามวันข้าเตรียมจะจัดงานอ่านบทกลอนขึ้นภายในเรือน เมื่อถึงตอนนั้นคุณหนูรองต้องมาร่วมงานให้ได้ คุณหนูเจ็ดตระกูลเซินคลั่งไคล้การเล่นหมากเป็นชีวิตจิตใจ ไว้ข้าจะแนะนำนางให้เจ้ารู้จัก พวกเจ้าจะได้ประลองหมากกันสักสองสามกระดาน”
เจิ้งซื่อผู้เป็นสะใภ้ใหญ่สือนั้น หากวันนี้ไม่จัดงานชมดอกไม้วันพรุ่งนี้ก็จัดงานอ่านบทกลอน ไม่มีวันใดที่หยุดพักเลย
แต่ก่อนโจวเสาจิ่นคิดว่าสะใภ้ใหญ่สือเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกันดี ทั้งมีบุตรชายข้างกาย และยังได้รับความโปรดปรานจากมารดาของสามีเป็นอย่างมาก ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใดๆ ในชีวิตเลยสักนิด การที่นางมีพลังและอารมณ์เพลิดเพลินมาเล่นสนุกก็นับเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเห็นว่าบุตรชายของนางยังไม่ทันครบเดือนก็ต้องตระเตรียมจัดงานชมดอกไม้พวกนี้แล้ว เมื่อได้ย้อนมาขบคิดดูในตอนนี้แล้ว บางทีอาจไม่ใช่เพียงการชื่นชอบเล่นสนุกที่ผิวเผินเช่นนั้นก็เป็นได้
ดังเช่นคุณหนูเซินท่านนั้นที่นางเอ่ยถึง นางก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
กล่าวได้ว่า บรรดาผู้คนที่สะใภ้ใหญ่สือคบหา ไม่ใช่คนที่ไปมาหาสู่กับตระกูลเฉิงอยู่บ่อยๆ เหล่านั้น
โจวเสาจิ่นจำใจกล่าวทักทายสะใภ้ใหญ่สือสองสามประโยคไปตามมารยาท แล้วรีบรุดตรงไปยังเรือนเจียซู่
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วสีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมา เรียกฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับโจวชูจิ่นเข้ามาปรึกษาหารือว่าควรจะจัดการอย่างไรดี
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่ยี่หระ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลานั้นก็ไม่ไปเสียก็ได้แล้ว”
ทว่าโจวชูจิ่นกลับคาดเดาความคิดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนออก กล่าวพึมพำว่า “เกรงว่าไม่ไปไม่ได้นะเจ้าคะ! ทุกคนต่างอาศัยอยู่ในซอยเดียวกัน จริงๆ แล้วเรื่องที่ว่าเสาจิ่นจะเล่นหมากล้อมเป็นหรือไม่ พี่สะใภ้สือเพียงเอ่ยถามคำเดียวก็รู้แล้ว การที่นางกระทำเช่นนี้ กลัวว่าจะมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่เจ้าค่ะ”
สำนวนที่ว่า ‘เซี่ยงอวี๋รำดาบ โดยมีเจตตาลอบสังหารเพ่ยกง’ นั้นพลันผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของโจวเสาจิ่น นางโพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “…หรือว่าคิดจะเหยียบย่ำชื่อเสียงของท่านน้าฉือหรือเจ้าคะ”
ตามข่าวลือแล้ว โจวเสาจิ่นเป็นรองเฉิงฉือเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหากคุณหนูเซินเอาชนะโจวเสาจิ่นได้…เฉิงฉือผู้เป็นบุรุษ ในสายตาของผู้อื่นแล้วก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษมาก ไม่เพียงเท่านี้ หากได้เล่นหมากกับคุณหนูเซิน แล้วเอาชนะคุณหนูเซินได้ ด้วยระดับความสามารถของเฉิงฉือก็ถือเป็นอะไรที่รู้กันอยู่แล้ว
เฉิงฉือมียศตำแหน่งเป็นจิ้นซื่อขั้นสองอยู่กับตัวแต่ไม่ได้เข้ารับราชการ จึงตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าบัณฑิตมากมายมานานแล้ว หากเล่นหมากได้เพียงเท่านี้ เช่นนั้นที่ว่าเขา ‘มีความรู้ลึกซึ้งทั้งด้านการเขียนอักษรและการวาดภาพ’ ก็อาจจะต้องพิจารณากันเสียใหม่ หากว่าคิดโยงไปอีกขั้นหนึ่ง การที่ตระกูลเฉิงไม่ให้เฉิงฉือรับราชการ หรือจะเป็นเพราะรู้ว่าความสามารถของเฉิงฉือนั้นใช้ไม่ได้ ไม่เพียงพอต่อการทำงานในราชสำนัก ไม่สู้ซ่อนเขาเอาไว้ในตระกูลเสียยังจะดีกว่า บุคคลผู้สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้ผู้หนึ่ง แม้นใช้การไม่ได้เพียงใด หากมีครูบาอาจารย์คอยสนับสนุนช่วยสั่งสอน ก็ทำงานราชการง่ายๆ ได้ หรือว่าแม้แต่งานง่ายๆ นี้เฉิงฉือก็ทำไม่ได้ เช่นนั้นเขาสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อมาได้อย่างไร…
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ
นางเอ่ยถามว่า “การทำเช่นนี้จวนรองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมิใช่หรือ ทุกคนต่างอาศัยอยู่ด้วยกัน หากคนใดคนหนึ่งได้รับเกียรติคนอื่นๆ ก็ได้รับเกียรติตามไปด้วย หากคนใดคนหนึ่งถูกหมิ่นเกียรติคนอื่นๆ ก็ถูกหมิ่นเกียรติไปด้วย!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นจริงจังมากเกินไป
ตระกูลใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขามากมาย เมื่อผ่านไปหลายรุ่น สายโลหิตเจือจางลงแล้ว ย่อมจะแบ่งแยกใกล้ไกลกับญาติที่สนิทหรือห่างเหินกัน หนำซ้ำครั้นผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ ก็จะเกิดช่องว่างระหว่างกัน การทำเรื่องสกปรกสักเรื่องหนึ่งจึงเป็นเรื่องธรรมดา ขอเพียงไม่กีดขวางผลประโยชน์โดยรวมของตระกูล ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ตระกูลเฉิงเองก็เป็นเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาหน้าตา การฉีกหน้ากันอย่างนี้ล้วนไม่เป็นผลดีกับทุกคน
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับมีความทรงจำจากชาติก่อน
จวนรองมีความพยายามมากผิดปกติที่ต้องการจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูล
ทันใดนั้นนางก็ได้ความคิดบ้าบิ่นหนึ่งขึ้นมา
เป็นไปได้หรือไม่ว่า รายรับกองกลางของตระกูลเฉิงสูงมาก สูงมากพอถึงขั้นที่ว่าจะทำให้จวนที่ได้ดูแลรายรับกองกลางของตระกูลจะได้ผลประโยชน์ที่มหาศาลตามไปด้วย
โจวเสาจิ่นถามท่านยายว่า “รายรับกองกลางของซอยจิ่วหรูนี้แบ่งสรรปันส่วนกันอย่างไรหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตกตะลึง
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขัดเขินว่า “ข้าเพียงคิดว่าค่อนข้างแปลก ตกลงแล้วจวนหลักกับจวนรองมีความแค้นอะไรกันแน่ จนไม่อาจสะสางได้ ตามหลักแล้ว บัดนี้จวนหลักรุ่งโรจน์ขึ้นมาราวกับกองไฟที่ราดด้วยน้ำมัน ในเมื่อไม่ได้มีความพยาบาทจากการสังหารบิดาหรือความแค้นจากการแย่งชิงภรรยา ต่อให้จวนรองอยากจะกุมอำนาจในตระกูลจนแทบคลั่ง ก็ต้องระแวดระวังและอดกลั้นเอาไว้ ค่อยๆ วางแผนแย่งชิงมาถึงจะถูก แต่นี่เหตุใดถึงมาชิงดีชิงเด่นกับจวนหลักอย่างไม่สนใจอะไรเลยเช่นนี้ หากว่าพี่ชายสือกับพี่ชายอวี่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเยาว์ก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้พี่ชายสือเป็นเพียงซิ่วไฉผู้หนึ่ง ส่วนพี่ชายอวี่ยังไม่เคยแม้กระทั่งลงสนามสอบเลยสักครั้ง แล้วพวกเขาจะเอาอะไรต่อกรกับจวนหลักหรือ นี่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยนะเจ้าคะ”
ครั้นโจวชูจิ่นได้ยินโจวเสาจิ่นกล่าวว่า ไม่สมเหตุสมผล ออกมา ก็อดเม้มปากกลั้นยิ้มไม่ได้
ตั้งแต่เมื่อไรกันหนอ ที่น้องสาวผู้มักจะกล่าวว่า ข้ารู้สึกว่า ข้าคิดว่า อยู่เสมอนั้นจะเริ่มสังเกตเห็นความสมเหตุสมผลของเรื่องต่างๆ ได้แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนใคร่ครวญอย่างละเอียด แล้วคิดว่าคำพูดของโจวเสาจิ่นมีเหตุผลยิ่ง จึงกล่าวว่า “พวกเราหลายจวนต่างก็แยกตระกูลออกมานานแล้ว ที่นาของตระกูลนั้นอยู่ในครอบครองของจวนหลัก จวนหลักเห็นแก่ความเป็นตระกูลเดียวกัน ทุกๆ ปีจึงแบ่งเงินสามร้อยเหลี่ยงให้กับจวนสี่และจวนห้า ส่วนจวนรองและจวนสามได้รับเงินจำนวนเท่าไรนั้น ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ก็ไปสืบดูได้…
…สมัยที่ข้าเพิ่งจะดูแลกิจการของครอบครัวตอนนั้น หากว่าฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล กำไรจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตในทุกๆ ปีจะได้ประมาณห้าร้อยเหลี่ยง หากปีนั้นเผชิญภัยแล้ง จะได้รับมากสุดที่หนึ่งร้อยแปดสิบเหลี่ยง บางปีถึงขั้นเก็บเกี่ยวพืชผลไม่ได้เลย ดังนั้นจวนหลักจึงแบ่งเงินสามร้อยเหลี่ยงให้พวกเราโดยไม่สนว่าผลผลิตในปีนั้นๆ จะดีหรือไม่ ข้าจึงกระดากอายที่จะซักถามถึงกำไรของผลผลิตจากไร่นา แต่ข้าคิดว่า ต่อให้จวนหลักซื้อที่นาเพิ่มเติมในภายหลัง ผลกำไรจากไร่นาก็ยังคงอยู่ตรงนั้น อย่างไรก็ไม่อาจทำให้ผู้อื่นอิจฉาตาร้อนได้หรอก เว้นเสียแต่ว่า ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง จนไม่อาจใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยต่อไปได้…
…แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนเหตุเพราะเจิ้งซื่อแตกกิ่งก้านสาขาให้แก่ตระกูลเฉิง ท่านผู้นำตระกูลจวนรองก็ได้มอบที่ดินให้นาง ข้ามองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะขัดสนเงินทองแต่อย่างใด…
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน