เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 182

“พูดจาเหลวไหล!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวตำหนิด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “พวกเด็กๆ พูดจาไม่รู้จักหนักเบา การแยกตระกูลออกไป เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องง่ายเพียงนั้นหรือ…” กล่าวถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอ้าปากค้างพูดไม่ออกขึ้นมาในทันใด บนใบหน้าปรากฏสีหน้าพรั่นกลัวออกมาเล็กน้อย

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” เกรงว่าถ้อยคำของโจวเสาจิ่นจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธขึ้ง นางรีบกระทุ้งโจวเสาจิ่น “ยังไม่รีบกล่าวขอโทษท่านยายของเจ้าอีก” แต่เจตนาที่ต้องการจะปกป้องโจวเสาจิ่นกลับฉายชัดอยู่ในคำพูดและท่าทางของนาง จากนั้นเกลี้ยกล่อมฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าโมโหไปเลยนะเจ้าคะ ท่านกล่าวเองมิใช่หรือว่า พวกเด็กๆ พูดจาไม่รู้จักหนักเบา รอให้นางโตขึ้นอีกสักสองปี ก็จะรู้ความมากขึ้นแล้ว ท่านอย่าได้โกรธเลยนะเจ้าคะ นางเองก็ไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน…”

บางทีอาจเป็นเพราะว่าไม่รู้จะช่วยตระกูลเฉิงให้รอดปลอดภัยได้อย่างไร ความคิดนี้จึงแล่นผ่านเข้ามาในห้วงความคิด ด้วยเหตุนี้โจวเสาจิ่นก็เลยโพล่งถ้อยคำเหล่านี้ออกมายามที่รู้สึกกระวนกระวาย

นางรู้สึกกระดากอายระคนละอายใจไปด้วย

ในตอนแรกที่ทั้งห้าจวนแยกจวนกัน จวนหลักยังนำเงินทองส่วนหนึ่งจากรายได้ของตนเองมาช่วยเหลือค้ำจุนจวนสี่ ทำให้จวนสี่ยืนหยัดดำรงอยู่ต่อไปได้หลังจากที่นายท่านผู้เฒ่าเซวี่ยนเสียชีวิตจากไป ต่อมายังประคับประคองจวนสี่โดยให้มาร่วมเป็นหุ้นส่วนของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่อีก วันเวลาของจวนสี่ถึงได้รุ่งเรืองขึ้นมา กล่าวได้ว่า สำหรับจวนสี่แล้วจวนหลักมีพระคุณเหลือล้นดั่งภูผา…ยามนี้ตระกูลเฉิงตกระกำลำบาก นางกลับโน้มน้าวให้จวนสี่แยกตระกูลออกจากตระกูลเฉิง…เช่นนั้นจะต่างอะไรกับผู้ที่ยินดีแบ่งปันความทุกข์ยากแต่หนีหายยามสุขสบายเล่า

นางรีบกล่าวขอโทษฮูหยินผู้เฒ่ากวน “ท่านยายเจ้าคะ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่คิดเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ…”

โจวเสาจิ่นลอบกล่าวอยู่ในใจว่า รอให้นางเล่าเรื่องที่ตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และฆ่าล้างยกตระกูลให้จวนหลักทราบเสียก่อน แล้วค่อยหยิบยกเรื่องแยกตระกูลมาพูดอีกครั้งก็ยังไม่สาย

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนราวกับไม่ได้ยินว่าพวกนางเอ่ยกล่าวอะไรก็ไม่ปาน พึมพำกับตัวเองว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ๆ!”

โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ มองตากันปริบๆ อย่างช่วยไม่ได้

สองพี่น้องตระกูลโจวส่งสายตาให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนครั้งหนึ่ง

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนลังเลเล็กน้อย แล้วถามเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ ไฉนข้าถึงฟังแล้วไม่เข้าใจเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเสมือนตื่นขึ้นจากภวังค์ จ้องฮูหยินใหญ่เหมี่ยนด้วยสายตาเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้รู้สึกตัว แล้วเหลือบมองทั้งสามคนที่อยู่ในห้องด้วยสีหน้าจริงจัง พลางกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องแยกตระกูล พวกเจ้าห้ามเอ่ยถึงอีก นอกจากจะเอ่ยถึงไม่ได้แล้ว แม้แต่คิดก็อย่าได้คิด เดิมทีก่อนที่ท่านทวดของพวกเจ้าจะสิ้นใจท่านเคยถามข้ากับท่านตาของเจ้า บอกว่าพวกเรากับจวนหลัก จวนรองและจวนสามกลายเป็นญาติห่างๆ กันแล้ว หากหมายจะแยกตระกูลออกมา ก็ให้บอกท่านยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จะได้ไม่เป็นภาระของข้ากับท่านตาของเจ้า หากว่าปรารถนาจะแสวงหาร่มเย็นใต้ต้นไม้ใหญ่ หวังจะได้รับการคุ้มครองโพยภัยจากจวนหลักและจวนรอง เช่นนั้นต่อไปก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้แต่ตระกูลถูกล้มล้างจนสูญสิ้นไป ก็ไม่อาจกระทำเรื่องที่เป็นการหักหลังซอยจิ่วหรูได้ และไม่อาจมานึกเสียใจภายหลังได้เช่นกัน จำต้องรู้ว่าครั้นเจ้าเสวยสุขบนทรัพย์สมบัติของตระกูล ก็ต้องทุ่มเทกำลังเพื่อวงศ์ตระกูล…ตอนนี้เห็นทีว่า ถ้อยคำที่ท่านทวดของพวกเจ้ากล่าวมานั้น อาจจะหมายถึงรายได้ส่วนนี้ก็เป็นได้ เกรงว่ารายได้ส่วนนี้จะมีที่มาที่ไปที่ไม่โปร่งใสมากนัก และอาจนำพาความวุ่นวายมาสู่ตระกูลได้…” กล่าวถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมาเล็กน้อย นางกำชับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าห้ามบอกผู้ใดแม้แต่คำเดียว เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของซอยจิ่วหรูก็เป็นได้ เจ้ารีบไปเรียกนายท่านใหญ่เข้ามา นายท่านใหญ่เพียงรู้สึกว่าสถานการณ์ระหว่างจวนหลักกับจวนรองมีพิรุธอยู่บ้างเท่านั้น แต่ยังไม่รู้ถึงภัยอันตรายนี้!”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไหนเลยยังจะนั่งลงอยู่ได้ เลิกกระโปรงขึ้นแล้วรีบเดินออกไป

โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นนั้น คนหนึ่งไปช่วยประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวน อีกคนหนึ่งไปรินน้ำชาร้อนๆ จอกใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่ากวน

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดื่มชาแล้ว ก็หายใจหายคอสะดวกขึ้น จึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กดี เรื่องนี้ก็อย่าเพิ่งไปบอกพี่ชายเก้ากับพี่ชายอี้ของพวกเจ้า รอให้ข้ากับลุงใหญ่ของพวกเจ้าปรึกษาหาคำตอบให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปบอก ประเดี๋ยวลุงใหญ่ของพวกเจ้าจะมาแล้ว พวกเจ้ากลับไปที่เรือนหว่านเซียงก่อนเถิด!” จากนั้นถ้อยคำก็ชะงักลงเล็กน้อย แล้วกล่าวอีกว่า “ทางด้านบิดาของพวกเจ้า…หากพวกเจ้าคิดจะบอกเขา ก็จำเอาไว้ว่าอย่าเขียนเป็นจดหมาย แต่ให้ส่งบ่าวรับใช้คนสนิทให้นำความไปแจ้งด้วยตัวเองแทน”

ทั้งสองพี่น้องต่างขานรับ “เจ้าค่ะ” ตามกัน แล้วออกจากเรือนเจียซู่ไป

โจวชูจิ่นดึงตัวโจวเสาจิ่นไปใต้ต้นการบูรข้างๆ ทางเดินเพื่อหารือ

“เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ควรบอกท่านพ่อหรือไม่” นางรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ “หากบอกท่านพ่อ ท่านพ่อไม่อาจนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ โดยไม่สนใจเป็นแน่ แต่ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็เป็นเรื่องของตระกูลเฉิง ท่านพ่อจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงได้อย่างไร แต่ถ้าหากไม่บอกท่านพ่อ ครั้นจวนสี่ประสบเคราะห์ภัย พวกเรายังจะมีหน้าพบท่านยาย ท่านลุง ท่านป้าและพี่ชายทั้งสองคนได้อย่างไรเล่า”

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกปลื้มปิติอยู่ในใจ

หลังจากที่นางกลับชาติมาเกิด เรื่องที่นางเฝ้าคะนึงหาอย่างไม่ลืมเลือนก็คือการทำให้ตระกูลเฉิงรอดพ้นจากหายนะ แต่นางเป็นเพียงเด็กสาวเยาว์วัยที่ฐานะต่ำต้อย สำหรับนางแล้วบรรดานายท่านใหญ่ทั้งหลายล้วนเปรียบเสมือนภูเขาไท่ซานซึ่งเป็นหนึ่งในห้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิเต๋าอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ใครจะรู้ว่านางกลับงัดศิลาก้อนนี้ขึ้นมาได้โดยไม่ได้ตั้งใจ

ครั้นมีพวกผู้ใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมด้วยแล้ว ไม่แน่ว่านางอาจจะไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องราวในชาติก่อนเลยสักคำ แต่ก็อาจจะช่วยตระกูลเฉิงให้พ้นวิบัตินี้ไปได้ก็เป็นได้!

“แน่นอนว่าต้องบอกท่านพ่อเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างมั่นใจ “สุดท้ายแล้วท่านพ่อก็เป็นบุตรเขยของตระกูลเฉิง หากว่าตระกูลเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ต่อให้ท่านพ่อไม่ถูกดึงเข้ามาพัวพันด้วย แต่เกรงว่าคงไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในภายภาคหน้าได้”

โจวชูจิ่นไหนเลยจะไม่เข้าใจ แต่นางไม่เหมือนกับโจวเสาจิ่นที่รู้เรื่องราวในอนาคต เวลาที่ต้องตัดสินใจ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์หรือความเป็นความตายของตระกูลเฉิง อย่างไรนางก็ลังเลและไม่มั่นใจอยู่บ้าง น้ำเสียงของน้องสาวที่หนักแน่นและเฉียบขาดยิ่งนักช่วยสร้างความมั่นใจให้นาง นางผ่อนลมหายใจครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าจะให้หม่าฟู่ซานนำความไปแจ้งท่านพ่อ ดูว่าท่านพ่อจะว่าอย่างไร แล้วพวกเราพี่น้องค่อยมาวางแผนกันอีกที!”

เช่นนี้ย่อมดีที่สุด

โจวชูจิ่นรีบเรียกหม่าฟู่ซานมาที่จวน

ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้รับข่าวแล้ว รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก กระซิบกล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “ไม่เสียแรงที่ข้าเลี้ยงดูฟูมฟักพวกนางสองพี่น้องมาอย่างดี”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนรู้สึกไม่สบายใจ จึงคลี่ยิ้มพลางหยอกเย้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ข้านับพวกนางสองพี่น้องเป็นเสมือนบุตรแท้ๆ ของข้ามานานแล้ว ใครจะรู้ว่าท่านยังขีดเส้นแบ่งแยกพวกนางเช่นนี้อยู่อีกหรือเจ้าคะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่า พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “พวกเจ้าเป็นเช่นนี้ ต่อให้จวนหลักกับจวนรองกระทำความผิดอะไรขึ้นมาข้าก็ไม่หวาดหวั่นอีกแล้ว เมื่อทุกคนเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน ความสมัครสมานสามัคคีนี้ย่อมหักทองคำลงได้!”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้าไม่หยุด

ตกบ่าย โจวเสาจิ่นยังคงไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานตามปกติ แต่เห็นได้ชัดว่านางนิ่งเงียบมากกว่าทุกที

เสี่ยวถานกระซิบถามชุนหว่านว่า “คุณหนูรองอารมณ์ไม่ดีหรือ”

ชุนหว่านชำเลืองมองโจวเสาจิ่นแวบหนึ่ง แล้วกระซิบตอบว่า “บางทีอาจเป็นเพราะพี่สาวซือเซียงใกล้จะออกจากจวนแล้ว พี่สาวซือเซียงรับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูรองมาตั้งแต่คุณหนูรองอายุแปดขวบ”

“ถึงว่า!” เสี่ยวถานกล่าว แล้วหันไปบอกปี้อวี้ว่า “พี่สาวซือเซียงจะออกจากจวนแล้ว พวกเราควรจะมอบของขวัญเป็นที่ระลึกแก่นางสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซานมาหลายเดือน ซือเซียงก็มารับใช้อยู่ด้วยหลายเดือน อีกทั้งอุปนิสัยของนางก็เป็นมิตรเข้ากับคนได้ง่าย จึงสนิทสนมกับปี้อวี้และเสี่ยวถานเป็นอย่างยิ่ง

ตอนที่ 182 ปฏิกิริยาตอบกลับ 1

ตอนที่ 182 ปฏิกิริยาตอบกลับ 2

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน