เฉิงฉือคำนวณเสียดิบดี แต่เรื่องราวกลับไม่ได้เป็นไปตามอย่างที่เขาคิดเอาไว้
เริ่มแรกเป็นเฉิงเหมี่ยนที่มาหาเขา แสดงออกอย่างรู้สำนึกว่าเป็นเพราะได้รับความเอื้อเฟื้อจากจวนหลัก จึงไม่อาจขายหุ้นในส่วนของตัวเองออกไปในเวลานี้เพื่อทำกำไรได้ เช่นนั้นจะต่างอะไรกับพ่อค้าเก็งกำไร
จากนั้นเป็นเฉิงเวิ่นของจวนห้า ก็มาหาเขาเช่นกัน
ถ้อยคำของเฉิงเวิ่นนั้นตรงไปตรงมายิ่งนัก “…เริ่มแรกข้าไม่มีเงิน จึงใช้วัตถุโบราณในบ้านเป็นหลักประกัน เจ้าเองก็ได้ตอบตกลง ตอนนี้พวกเจ้ากับจวนรองมีปัญหากัน ข้าไม่อาจสะบัดมือปฏิเสธไปได้ เช่นนั้นข้าจะกลายเป็นคนเช่นไรไปแล้ว! อีกอย่าง ตอนนี้ทุกปีข้ามีรายได้เป็นเงินห้าพันเหลี่ยง ต่อให้จวนรองจะนำเงินหนึ่งแสนเหลี่ยงมาให้ข้า ก็เป็นเพียงรายได้ยี่สิบปีของข้า ซึ่งถ้าใช้หมดแล้วก็คือหมดเลย แต่หากข้าถือหุ้นจำนวนนี้เอาไว้ในมือ ล้วนได้รับเงินทุกๆ ปีไม่มีขาด จะไม่คุ้มค่ากว่าการขายขาดหรอกหรือ นอกจากนี้ จวนรองจะยอมนำเงินหนึ่งแสนเหลี่ยงมาซื้อหุ้นในส่วนที่อยู่ในมือของข้าหรือไม่นั้นก็ยังไม่แน่นอน ข้าคำนวณแล้วคิดว่าเป็นการขาดทุนเกินไป”
เฉิงฉือยกกาน้ำชาขึ้นมารินชาให้เฉิงเวิ่นใหม่อีกจอกหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านมั่นใจว่าร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จะคงอยู่ได้นานถึงยี่สิบปีขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าหากผ่านไปสองปีแล้วร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ล้มละลายขึ้นมาเล่า ท่านจะไม่ขาดทุนหนักเลยหรือ”
“ไม่…ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง!” เฉิงเวิ่นเบิกตาโพลงมองเฉิงฉือ พูดติดๆ ขัดๆ ขึ้นมา “ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ก็คงจะอยู่อย่างรุ่งเรืองไปได้อีกยี่สิบปีกระมัง”
“ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จะอยู่อย่างรุ่งเรืองไปอีกยี่สิบปีหรือไม่เกี่ยวอะไรกับอายุของข้าด้วยเล่า”
“ขอเพียงเจ้าไม่แก่ชราจนหลงๆ ลืมๆ ไปเสียก่อน ร้านตั๋วแลกเงินนี้ก็คงไม่ล้มละลายหรอกกระมัง” ดวงตาของเฉิงเวิ่นยิ่งเบิกกว้างยิ่งขึ้น พลางกล่าว “เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย ข้าได้ยินมาว่า คนของจวนรองไปหาคนมาร่วมทำการค้าด้วยทั่วทุกที่ พอคนได้ยินว่าเป็นตระกูลเฉิงจากซอยจิ่วหรูต่างก็วิ่งกรูกันเข้ามาอย่างกระตือรือร้น แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นการทำการค้าของจวนรองเอง ทุกคนต่างก็บอกว่ามีธุระเร่งด่วน ต่างวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าจะสงบสุขขนาดนี้ได้อยู่หรือ เจ้าคิดว่าร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จะเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้ได้หรือ ข้าอ่านได้อย่างทะลุปรุโปร่งดีแล้ว คนเหล่านั้นไม่ได้อยากจะทำการค้ากับตระกูลเฉิง แต่พวกเขาอยากจะทำการค้ากับเจ้ามากกว่า!” ขณะที่เขากล่าว ก็เผยความภาคภูมิใจออกมาให้เห็นเล็กน้อย “และเนื่องจากครั้งนี้ข้าเห็นชัดแล้ว ฉะนั้นขอเพียงเจ้าเป็นคนดูแลกิจการของตระกูลเฉิง ข้าก็จะอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่แห่งนี้ หากวันใดที่เจ้าไม่ทำต่อไปแล้ว…เอ่อ ข้าก็จะตามเจ้าไป ไม่ว่าเจ้าจะทำการค้าอะไรข้าก็จะร่วมหุ้นด้วยทั้งนั้น!”
เฉิงฉือยิ้มทว่าไม่กล่าวสิ่งใด
เฉิงเวิ่นรีบกล่าวว่า “ข้าพูดจริงๆ ตอนที่ข้าจะมาที่นี่ข้าได้ตัดสินใจแล้ว หากเจ้ากับจวนรองขัดแย้งกันขึ้นมา ข้าย่อมช่วยเจ้าอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่เชื่อ ข้ายินดีกล่าวคำสาบาน”
“ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ท่านกล่าวมาเลยสักนิด” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ข้าเพียงคิดว่าหากพวกท่านขายหุ้นในส่วนที่อยู่ในมือของพวกท่านออกไป แล้วนำไปซื้อที่ดิน ความเสี่ยงอาจจะน้อยกว่าก็เท่านั้น”
“หากไม่กล้าเสียเด็กจะล่อจับหมาป่าได้อย่างไร” เฉิงเวิ่นตบหน้าอก “ที่ดินนั้นความเสี่ยงต่ำก็จริง แต่กำไรก็ไม่มาก ข้ายังคงเลือกที่จะทำกับเจ้านั่นแหละ”
นั่นก็ต้องดูว่าข้าจะยินยอมให้เจ้าทำกับข้าหรือไม่!
เฉิงฉือพึมพำอยู่ในใจ ยิ้มบางๆ พลางรินชาให้เฉิงเวิ่นอีกหนึ่งจอก
“ไอโหยวๆ!” เฉิงเวิ่นรีบกล่าว “ให้ข้ารินให้ดีกว่า เจ้าเป็นเทพแห่งความร่ำรวย ไหนเลยจะมีเหตุอันสมควรให้เทพแห่งความร่ำรวยรินชาให้ข้ากัน”
เฉิงฉือยกมือขึ้น หลบแขนที่ยื่นเข้ามาของเฉิงเวิ่นไปได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าได้ดื่มชาจากเทพแห่งความร่ำรวยแล้วจะร่ำรวยหรอกหรือ ให้ข้ารินชาให้ท่านเถิด ท่านนั่งลงดื่มชาให้สำราญเถิด”
“คำพูดนี้มีเหตุผล” เฉิงเวิ่นหัวเราะร่า นั่งลงไปใหม่อีกครั้ง มองเฉิงฉือรินชาให้เขาจนเต็มจอก จากนั้นก็ขยับเข้าหาเฉิงฉืออย่างกระตือรือร้น กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ชายสี่ เจ้ากล่าวความจริงกับพี่ชายสักประโยคเถิด ที่เจ้าไม่ได้ใบอนุญาตค้าเกลือในปีนี้ เป็นเพราะท่านผู้นำตระกูลจวนรองใช่หรือไม่…” เขาชี้ไปยังทิศทางที่จวนรองตั้งอยู่ “ข้ารู้จักน้องชายของภรรยาที่ปรึกษาที่ย้ายเข้ามาใหม่ของเหลี่ยงไหว[1] เจ้าอยากให้ข้าช่วยไปที่ไหวอันให้เจ้าสักครั้งหรือไม่ พวกเราอาจไม่ได้ใบอนุญาตค้าเกลือที่เหลี่ยงเจ้อ[2] แต่จะไม่ได้ใบอนุญาตค้าเกลือที่เหลี่ยงไหวด้วยเชียวหรือ ข้าไม่เชื่อเป็นอันขาด!”
“ไม่ใช่!” เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นข้าที่รู้สึกว่าการค้าเกลือครั้งนี้ไม่ค่อยง่ายดายนัก ก็เลยวางมือเสีย”
เฉิงเวิ่นกระทืบเท้าไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “เจ้ารังเกียจความวุ่นวาย แต่ข้าไม่รังเกียจความวุ่นวายนี่นา! เหตุใดเจ้าถึงไม่คิดยกการค้าอันนี้มาให้ข้าทำเล่า! เจ้าช่างไม่รู้ความรู้สึกของผู้อื่นดั่งคนอิ่มหนำที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนหิวโหยเสียจริง!”
เฉิงฉือรีบกล่าวขอโทษขอโพยว่า “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ…หรือว่าให้ข้าเป็นสะพานเชื่อมให้ท่านทำการค้าขนส่งทางทะเลกับผู้อื่นดีหรือไม่ ถึงแม้ความเสี่ยงสูง อาจขายไม่ได้เลยสามปี แต่เมื่อขายได้แล้วก็อยู่ไปได้ถึงสามปี…”
ไม่รอให้เขาพูดจนจบ มือของเฉิงเวิ่นก็จับแขนของเขาเอาไว้ แล้วกล่าวขึ้นอย่างซาบซึ้งว่า “ข้าว่าแล้วว่าพี่น้องทั้งสามคนของจวนหลักนั้นจิตใจกว้างขวางยิ่งนัก คราวก่อนข้าไปจิงเฉิง ไม่กล้าไปขอพบพี่ชายใหญ่จิง จึงไปหาพี่ชายรองเว่ยของเจ้า โดยไม่สอบถามอะไร พี่ชายรองเว่ยของเจ้าก็พาข้าไปที่วัดต้าเซียงกั๋วด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง ยังให้พ่อบ้านพาข้าไปเดินเล่นรอบๆ จิงเฉิงอีกหนึ่งรอบ สุดท้ายยังให้ตั๋วเงินข้าอีกหนึ่งร้อยเหลี่ยง ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่ในใจยังคงจำได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องนี้ถือว่าพวกเราตกลงกันตามนี้ ในมือของข้ามีเงินอยู่ทั้งหมดสองหมื่นเหลี่ยง ประเดี๋ยวเจ้าให้พ่อบ้านไปเอาตั๋วเงินกับข้าได้เลย…”
“พี่ชายเวิ่น เรื่องนี้ท่านกับอีกฝ่ายติดต่อกันเองจะดีกว่า!” เฉิงฉือกล่าวตัดบทคำพูดของเฉิงเวิ่นยิ้มๆ “ข้าเข้าร่วมเป็นคนกลาง ไม่ค่อยดีนัก…อีกฝ่ายเป็นสหายของข้า พื้นเพก็ไม่ได้ร่ำรวยนัก หากเขาต้องการให้ข้ายอมลงให้ส่วนหนึ่ง ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธเขาได้ ถึงเวลานั้นกลัวแต่ว่าจะทำให้พี่ชายเวิ่นขาดทุนได้”
“ได้ๆๆ” เฉิงเวิ่นยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวทั้งสองแถว “เจ้าให้พ่อบ้านของเจ้าแนะนำคนให้ข้ารู้จักก็พอ ส่วนเรื่องจะเจรจาอย่างไรนั้น ให้เป็นธุระของข้า!”
“แต่ก็ไม่อาจทิ้งเอาไว้ให้ท่านแล้วไม่ดูดำดูดีเลย” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “การค้าอันนี้ก่อนหน้านี้ข้าไม่มีกำลังคนเข้าไปจัดการดูแล ก็เลยไม่ได้ยื่นมือเข้าไปแทรกแซง แต่ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้พ่อบ้านของข้าคำนวณผลกำไรเอาไว้แล้ว มีส่วนไหนที่ควรจะต้องระวัง เขาน่าจะเข้าใจเป็นอย่างดี ประเดี๋ยวข้าจะให้พ่อบ้านคนนั้นไปคุยกับท่านเอาไว้ เผื่อว่าเวลาไปเจรจากับอีกฝ่ายจะได้เข้าใจเรื่องราว”
“ได้ๆ” ครั้งนี้เฉิงเวิ่นตบขาของตัวเอง “ผู้อื่นต่างกล่าวกันว่าเจ้าเป็นคนเย็นชา ข้ากลับมองว่าเจ้าเป็นคนขี้อาย หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าเจ้าเป็นคนเช่นนี้ ข้าก็คงจะมาเยี่ยมเยียนเจ้าให้เร็วกว่านี้แล้ว…”
ไหวซานยืนอยู่ข้างๆ กลั้นหัวเราะจนหน้าท้องเกือบจะเป็นตะคริวไปหมดแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งเฉิงเวิ่นออกไปได้ เขาทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ พิงตัวกับเสาที่อยู่ข้างๆ แล้วหัวเราะออกมาดังลั่น
เฉิงฉือมองเขาอย่างเยียบเย็นครั้งหนึ่ง เห็นท้องฟ้าเริ่มมืด ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว จึงไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามเขา “นายท่านใหญ่เวิ่นไปแล้วหรือ”
“ไปแล้วขอรับ” เฉิงฉือกล่าวพลางนั่งลงทางด้านขวามือของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพึมพำกล่าว “เจ้าใช้ความพยายามไปตั้งมากเพื่อดึงหัวหน้าของแต่ละจวนมารวมกันที่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ เหตุใดตอนนี้กลับจะให้พวกเขาขายหุ้นส่วนออกไปเล่า”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนแรกก็เพื่อเตือนท่านผู้นำตระกูลจวนรองว่าอย่าได้ประมาทเกินไป ตอนนี้พี่ชายใหญ่ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ต่อให้เขาอยากจะทำอะไรก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้เมื่อแยกจวนสี่กับจวนห้าออกไปได้แล้ว หากต้องการจะมีเรื่อง ก็ให้มีเรื่องกันเฉพาะพวกเราสามจวนก็พอแล้ว อย่าให้พวกเขาต้องมาข้องเกี่ยวด้วยเลย”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน