จี๋อิ๋งไม่เข้าใจ ถามขึ้นว่า “นางเป็นอะไรหรือ”
โจวเสาจิ่นละอาย กล่าวขึ้นว่า “อาจจะเป็นเพราะไม่อาจตามพวกเราไปเขาผู่ถัวด้วยกระมัง!”
จี๋อิ๋งพยักหน้า ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
พี่น้องร่วมอาจารย์ที่ฝึกวิทยายุทธ์มาด้วยกันยังต้องแบ่งระดับแบ่งชั้นกัน นับประสาอะไรกับเฉิงเจียและโจวเสาจิ่นที่เป็นเพียงญาติที่เกิดจากการแต่งงานกันเท่านั้น
นางถามโจวเสาจิ่น “เจ้าคัดพระธรรมให้เสร็จภายในเดือนนี้ได้หรือไม่”
“ได้!” โจวเสาจิ่นรู้สึกละอายใจเล็กน้อย จริงๆ แล้วนางคัดให้เสร็จได้ตั้งแต่เดือนสามแล้ว แต่เพื่อให้มีโอกาสได้เจอเฉิงฉือ จึงจงใจคัดให้ช้าลง พอถึงตอนนี้ กลับต้องมาเร่งคัดให้เร็วขึ้น นี่นับว่าเป็นการผลักก้อนหินไปทับเท้าตัวเองได้หรือไม่
นางใช้เวลาไปทั้งหมดสิบวัน สุดท้ายก็คัดพระธรรม ‘ศูรางคมสูตร’ จนแล้วเสร็จ ไม่เพียงเท่านี้ ยังคัดพระธรรม ‘ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร’ ให้ตัวเองอีกหนึ่งจบ สำหรับถวายแด่องค์พระโพธิสัตว์กวนอิมอีกด้วย
พอฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบแล้วก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ดึงของโจวเสาจิ่นเอาไว้พร้อมกับกล่าวไม่หยุดว่าลำบากนางแล้ว ยังกล่าวอีกว่า “ยังคงเป็นน้าฉือของเจ้าที่คาดการณ์ได้แม่นยำ หลังจากที่ได้เห็นเจ้าคัดพระธรรมแล้วก็รู้ได้ว่าเจ้าจะคัดเสร็จประมาณวันที่เท่าไร ถึงเวลาพวกเราจะออกเดินทางตามวันที่เขากำหนดไว้”
โจวเสาได้ยินแล้วหูร้อนฉ่า
หรือว่าท่านน้าฉือจะมองอะไรบางอย่างออก?
นางไม่กล้าคิดไปมากกว่านี้ จึงเชิญจี๋อิ๋งมาช่วยนางจัดหีบสัมภาระ
“เสื้อคลุมกันลมต้องเอาไปหลายๆ ตัวหน่อย เนื่องจากอากาศระหว่างล่องอยู่บนแม่น้ำเปลี่ยนแปลงบ่อย เจ้าอย่าคิดว่าเป็นฤดูร้อน เพราะพอถึงกลางคืนอากาศก็เย็นเหมือนกัน แต่บรรยากาศตอนกลางคืนของหลายๆ ที่ก็ดียิ่งนัก ทำให้ได้ชมทิวทัศน์บนเรือได้พอดี” นางพูดจ้อไม่หยุด “ชุดชั้นในก็ต้องเอาไปมากหน่อย เจ้าอย่าคิดว่าอยู่บนเรือ เพราะจริงๆ แล้วน้ำที่ใช้ได้มีไม่มาก ซักแล้วก็ไม่ง่ายเลยกว่าจะตากให้แห้ง…เจ้ามีเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือไม่ เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายเหมาะที่จะสวมใส่บนเรือที่สุด ทั้งทนทานและง่ายต่อการซักทำความสะอาด…”
ชุนหว่านกับปี้เถาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วจัดหีบสัมภาระตามที่จี๋อิ๋งบอก
โจวเสาจิ่นกลับเรียกซือเซียงมา แล้วยื่นถุงเงินให้นางหนึ่งถุง กล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าวันที่เจ้าออกจากจวนข้าจะได้กลับมาหรือยัง ในถุงเงินนี้มีตั๋วเงินสิบเหลี่ยงจำนวนสิบใบ เจ้านำติดตัวไปด้วย หากข้าเร่งกลับมาทันก็ดี แต่ถ้าข้ากลับมาไม่ทัน ตอนที่เจ้าแต่งงานข้าจะไปยกจอกเหล้าให้เจ้าอย่างแน่นอน”
ซือเซียงคุกเข่าลงโขกศีรษะให้นาง
โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่น หรือแม้กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและคนอื่นๆ ต่างก็ให้ของขวัญนาง จนเพียงพอให้นางได้แต่งงานออกไปอย่างไม่น้อยหน้าใคร
ฉือเซียงมองแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เป็นพี่น้องกัน พอซือเซียงจากไป ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้พบหน้ากันอีก
หลังจากร่วมยินดีกับวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้ว ลมยามค่ำคืนค่อนข้างเย็นสบาย โจวเสาจิ่นกล่าวอำลาท่านยาย ท่านป้าใหญ่ พี่สาวและคนอื่นๆ จากนั้นก็ติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกเดินทางไปยังเขาผู่ถัว เพื่อนร่วมทางนอกจากจะมีคนที่รับใช้โจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่เป็นประจำแล้ว ก็ยังมีเฉิงฉือและคนข้างกายของเฉิงฉืออย่าง จี๋อิ๋ง ไหวซาน ฉินจื่อผิงและผู้คุ้มกันอีกหลายคน
ณ วันออกเดินทาง อากาศแจ่มใสยิ่งนัก คนจากหลายๆ จวนต่างออกมาส่ง โจวชูจิ่นยิ่งแล้วใหญ่ นางจับมือน้องสาวเอาไว้ตลอดจนถึงข้างๆ ทางขึ้นถึงได้ปล่อยมือ
พวกเขาจะนั่งเรือสำราญไปเจิ้นเจียงก่อน จากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นเรือสำเภาจากเจิ้นเจียงไปหังโจว
มองจากช่องกระจกหน้าต่างของเรือสำราญ ผู้คนบนฝั่งค่อยๆ ไกลออกไป สุดท้ายก็กลายเป็นเงาดำเล็กๆ จุดหนึ่ง โจวเสาจิ่นที่ดีอกดีใจและจิตใจที่รอคอยอย่างคาดหวังมาตลอดพลันเปลี่ยนเป็นรู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย
ฝานหลิวซื่อที่ติดตามมาด้วยรีบปลอบโยนนางว่า “ไม่เป็นไรนะเจ้าคะๆ พวกเรามากับฮูหยินผู้เฒ่ากัว อีกทั้งยังนำป้ายชื่อของนายท่านใหญ่มาด้วย แล้วก็มีนายท่านสี่ฉือมาด้วย ย่อมไม่มีเรื่องอะไรแน่นอนเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
ปี้อวี้เดินเข้ามาด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงนัก กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ฮูหยินผู้เฒ่าให้ข้ามาดูว่าท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ”
“ข้าสบายดี” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเก็บอารมณ์กลับมา เชิญปี้อวี้เข้ามานั่ง “แล้วฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง”
“สบายดีเช่นกันเจ้าค่ะ” ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า นางต้องการพักครู่หนึ่ง เชิญคุณหนูรองตามสบาย แล้วค่อยเจอกันตอนเวลาอาหารเย็นเจ้าค่ะ”
เดินทางไปเจิ้นเจียงใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน
โจวเสาจิ่นขานรับ จากนั้นเปิดหน้าต่างเรือสำราญออกแล้วมองออกไปด้านนอก
ตอนนี้ยังออกจากฝั่งมาไม่ไกลมากนัก ทั้งสองฝั่งมีคนอาศัยอยู่บนเรือจำนวนมาก คนจำนวนไม่น้อยต่างยืนอยู่บนเรือแล้วชี้มาที่เรือสำราญของพวกเขา
โจวเสาจิ่นหัวเราะ
นึกถึงวันที่พวกนางกลับมาจากผูโข่ว ตอนอยู่ที่สะพานเจียงตงก็เคยชี้ไปที่เรือสำราญของผู้อื่นอย่างนึกอิจฉา ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เรื่องราวกลับพลิกตาลปัตร ถึงคราวที่ผู้อื่นชี้มาที่เรือสำราญที่นางนั่งอยู่อย่างอิจฉาบ้าง
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางปิดหน้าต่าง บอกกับปี้เถาว่า “ข้าเองก็จะพักสักหน่อย พวกเจ้าส่งสาวใช้เด็กผู้หนึ่งไปคอยสังเกตการณ์ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ หากฮูหยินผู้เฒ่าตื่นแล้ว ก็รีบมาเรียกข้า”
ปี้เถาอายุเท่ากับโจวเสาจิ่น สูงกว่าโจวเสาจิ่นไปครึ่งศีรษะเท่านั้น ดวงหน้าเรียวยาว ผิวขาวละเอียด ท่าทางอ่อนน้อมและจริงใจ
นางเพิ่งจะมารับใช้อยู่ข้างกายโจวเสาจิ่นก็มีโอกาสได้ติดตามไปถวายธูปที่เขาผู่ถัวแล้ว ถึงตอนนี้พอคิดขึ้นมาแล้วก็เสมือนกับความฝันก็ไม่ปาน นางขานรับอย่างนอบน้อม แล้วหมุนกายออกไปสั่งการ
โจวเสาจิ่นหลับไปจนตะวันเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก
มองภายในห้องที่ส่องสว่างด้วยแสงแดดยามเย็นแล้ว นางพลันกระโดดตัวโหยงขึ้นมา ต่อว่าชุนหว่านที่เฝ้าเวรยามอยู่ว่า “นี่มันยามใดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่เรียกข้า ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นหรือยัง”
ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ ว่า “เพิ่งจะยามโหย่ว[1]เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นตั้งนานแล้ว พอเห็นปี้เถาคอยชะเง้ออยู่ตรงนั้น จึงให้สื่อมามานำความมาแจ้งเป็นการเฉพาะว่า ให้พวกข้าไม่ต้องปลุกท่าน รอท่านตื่นแล้วค่อยไปรับมื้อเย็นด้วยกันเจ้าค่ะ”
นี่ใช้ได้ที่ไหนกัน!
โจวเสาจิ่นรีบล้างหน้าล้างตา แล้วไปที่ห้องพักโดยสารที่อยู่ตรงกลาง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพักอยู่ตรงกลาง เฉิงฉือพักอยู่หัวเรือ ส่วนนางอยู่ท้ายเรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังสนทนาอยู่กับสื่อมามา เห็นโจวเสาจิ่นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจียผ้าไหมหังโจวสีชมพูไร้ลวดลายตัวหนึ่ง เส้นผมดำขลับถูกรวบขึ้นเป็นมวยหลวมๆ มีดอกมะลิเส้นหนึ่งเสียบอยู่บนมวยผม ดูสะอาดสะอ้านและสดใสประหนึ่งหยก งดงามจับใจผู้คนยิ่งนัก
“ไอโหยว นี่ดอกมะลิจากที่ใดกัน ยังชื้นด้วยน้ำอยู่เลย” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มตาหยีพลางมองสำรวจนางขึ้นลง “งดงามจริงๆ!”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่สาวลุกขึ้นมาเด็ดให้แต่เช้าเจ้าค่ะ บอกว่าให้ข้านำไปวางไว้ข้างหมอน ข้าเห็นว่ามีมากยิ่งนัก จึงให้ชุนหว่านนำไปแช่น้ำในชาม คิดไม่ถึงว่าพอตกบ่ายกลับบานหมดแล้ว จึงเลือกมาประดับสองสามดอกเจ้าค่ะ” นางกล่าวไปด้วย ก็หันไปบอกชุนหว่านไปด้วยว่า “นำชามใบนั้นเข้ามา พวกเราร้อยกำไลมือให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับมามาได้สวมกัน”
นางจำได้ว่าเรือนหานปี้ซานไม่มีดอกไม้เลยสักดอก จึงไม่กล้าทะเล่อทะล่าส่งดอกไม้เข้ามาให้
ชุนหว่านเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร จึงรีบไปยกชามที่แช่ดอกมะลิเข้ามา
สื่อมามากลับยื่นมือมาที่ด้านหน้าของโจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองของข้า ท่านลองดู ว่าข้าดูเป็นคนที่เหมาะจะสวมดอกไม้หรือ ท่านร้อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าสักสองเส้นก็พอแล้วเจ้าค่ะ ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้ายังสาวๆ นั้น ก็ชื่นชอบประดับดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นหอมเหล่านี้เป็นที่สุด…”
แล้วเหตุใดต่อมาถึงไม่ชอบแล้วเล่า
โจวเสาจิ่นไม่กล้าถามออกไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ไม่กล่าวสิ่งใด

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน