เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 187

เรือลำนี้เก่าก็เก่า เล็กก็เล็ก แต่เฉิงฉือย่อมไม่สนใจเป็นธรรมดา เขายิ้มพลางนั่งลงข้างฮูหยินผู้เฒ่ากัว เนื่องจากเป็นโต๊ะกลม จึงดูละม้ายคล้ายเตาหลอมสามขาเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นเป็นผู้ที่ไม่จู้จี้เรื่องอาหารการกิน จึงรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเตรียมตัวสำหรับการเดินทางในครั้งนี้มาตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน นางตื่นนอนแต่รุ่งสาง แม้ว่าจะนอนพักกลางวันในช่วงบ่ายไปครู่หนึ่งแล้ว แต่เนื่องด้วยอายุที่มากแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงรู้สึกอิดโรยเป็นอย่างมาก เดิมทีไม่รู้สึกอยากอาหารสักเท่าใด แต่พอเห็นโจวเสาจิ่นเจริญอาหารถึงเพียงนี้ นางจึงรับประทานข้าวไปมากกว่าครึ่งถ้วยอย่างอดไม่ได้

เฉิงฉือเห็นแล้วก็ลอบพยักหน้าเบาๆ

คิดว่าตัดสินใจถูกแล้วที่พาโจวเสาจิ่นไปเขาผู่ถัวด้วย ไม่เช่นนั้นด้วยอุปนิสัยของเขาและมารดา เกรงว่าจะไร้บทสนทนาตลอดทางไปจนถึงผู่ถัว หรือไม่ก็มีแต่มารดาที่พูดอยู่ฝ่ายเดียว และลอบรู้สึกเสียใจไปจนถึงผู่ถัว

ตกเย็น พวกเขาพักแรมอยู่ที่ท่าเรือเมืองอี๋เจิน

จ้าวคุนผู้เป็นเจ้าเมืองเมืองอี๋เจินออกมาให้การต้อนรับเฉิงฉือ

โจวเสาจิ่นหลบไปอยู่ในห้องโดยสารของเรือ จนกระทั่งจ้าวคุนมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวผ่านฉากกั้นห้อง และเชิญเฉิงฉือไปรับประทานอาหารบนฝั่งแล้ว โจวเสาจิ่นถึงได้ออกไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ห้องพักโดยสาร

ครั้งนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้ดึงโจวเสาจิ่นไปเล่นไพ่ แต่หลังจากที่ตรวจดู ‘ศูรางคมสูตร’ แล้ว ก็เริ่มวิจารณ์และติข้อบกพร่องของอักษรที่นางคัดมา

โจวเสาจิ่นฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วเขียนอักษรใหม่ทีละตัวให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูตามที่นางบอก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางตั้งอกตั้งใจยิ่งนัก ทำให้มีอารมณ์ร่วมไปด้วย จึงชี้แนะอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น

คนหนึ่งสอน อีกคนหนึ่งคัดตาม เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่เฉิงฉือกลับมา ก็เป็นยามไฮ่[1]เสียแล้ว

โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งโหยง รีบเชิญฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปนอนหลับพักผ่อน

บางทีอาจเป็นเพราะได้ทำในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงอารมณ์ดียิ่ง นอกจากจะไม่ง่วงนอนแล้ว ในทางกลับกันยังเอ่ยถามเฉิงฉือว่า “เหตุใดจ้าวคุนผู้นี้ถึงได้มาเยี่ยมเยียนเจ้าหรือ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”

เฉิงฉือไม่ได้มียศตำแหน่งทางราชการ ซ้ำยังเป็นเพียงแค่การออกมาท่องเที่ยว หากว่าพอมีความสัมพันธ์กับตระกูลเฉิงอยู่บ้าง อย่างมากที่สุดก็ส่งบริวารคนสนิทคนหนึ่งมามอบของขวัญเป็นการต้อนรับ หากไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับตระกูลเฉิงเลย จะเมินเฉยพวกเขาเสียก็ได้ เมืองอี๋เจินเป็นเมืองป้อมปราการทั้งทางบกและทางน้ำ ไม่รู้ว่าแต่ละปีมีขุนนางเดินทางผ่านมามากเพียงใด หากว่ามาต้อนรับขับสู้เช่นนี้ทุกครั้งไป หากเจ้าเมืองอี๋เจินไม่เหนื่อยตายไปเสียก่อนก็คงผลาญทรัพย์หมดจนอดตาย ครั้งนี้จ้าวคุนไม่เพียงออกมาต้อนรับเฉิงฉือด้วยตนเอง ยังเชิญเฉิงฉือไปกินดื่มสังสรรค์ จะต้องมีเรื่องขอไหว้วานเป็นแน่

“เขาเป็นสหายที่สอบผ่านขุนนางในปีเดียวกันกับพี่รองขอรับ” เฉิงฉืออาบน้ำและเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว ผมเผ้าที่มัดรวบเอาไว้ยังเปียกหมาดๆ อยู่ กล่าวเสียงเบาว่า “เขาได้ยินว่าท่านจะเดินทางผ่านมา จึงมาคารวะท่านเป็นการเฉพาะขอรับ”

“เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “คงจะมีเรื่องขอร้องพี่ชายทั้งสองคนของเจ้ากระมัง”

เฉิงฉือตอบยิ้มๆ ว่า “บอกว่าฝ่ายสิงเหรินซือ[2] มีข่าวคราวแจ้งมาขอรับ จางจวิ้นหวาผู้เป็นเจ้ากรมพิธีการและเป็นผู้ทรงคุณวุฒิประจำพระตำหนักเหวินหวาสุขภาพทรุดโทรม เขาได้ร่างหนังสือถึงองค์ฮ่องเต้ ขอเกษียณราชการในเดือนเก้า เป็นไปได้ว่าพี่ใหญ่อาจจะได้โยกย้ายตำแหน่งไปอยู่ในหกกรมขอรับ”

ตอนนี้เฉิงจิงดำรงตำแหน่งเป็นราชทูตฝ่ายซ้ายของศาลว่าการ เป็นหนึ่งในเสนาบดีทั้งเก้า หากว่าได้โยกย้ายตำแหน่งไปอยู่ในหกกรมล่ะก็ เช่นนั้นก็เป็นไปได้ที่จะเป็นผู้สืบตำแหน่งเจ้ากรม

ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมในรัชสมัยปัจจุบันมักจะควบตำแหน่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในราชสำนักเสมอ

กล่าวได้ว่า เฉิงจิงจะได้เข้าสู่ราชสำนัก

โจวเสาจิ่นรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย

ชาติที่แล้ว เฉิงจิงเข้าสู่ราชสำนักหลังจากที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์

หากสถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ครั้งนี้ เฉิงจิงอาจยังคงรั้งอยู่ในตำแหน่งราชทูตฝ่ายซ้ายของศาลว่าการต่อไปก็เป็นได้

นางเหมือนอยากจะเอ่ยปากกล่าวแต่หยุดเอาไว้

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังปลื้มปีติอยู่จึงไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่เฉิงฉือผู้เฝ้าระวังอยู่เสมอกลับสังเกตเห็น

รอจนกระทั่งออกจากห้องพักโดยสาร เฉิงฉือเจาะจงเรียกตัวโจวเสาจิ่นมา เอ่ยถามนางว่า “เจ้าได้ยินข่าวอะไรมาใช่หรือไม่”

โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าควรจะบอกดีหรือไม่

ในเมื่อมีข่าวลือเช่นนี้แพร่ออกมา แสดงว่าเฉิงจิงก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกราชสำนักหมายตาเอาไว้ หากว่าสองพี่น้องตระกูลเฉิงวางแผนเตรียมการแต่เนิ่นๆ ไม่แน่ว่าเฉิงจิงอาจจะเข้าสู่ราชสำนักเร็วกว่าเดิมก็เป็นได้ ในแวดวงขุนนางใหญ่มักจะให้ความสำคัญเรื่องลำดับความอาวุโส การที่เฉิงจิงเข้าสู่ราชสำนักเร็วขึ้นวันหนึ่ง อิทธิพลของตระกูลเฉิงย่อมแข็งแกร่งมากขึ้นอีกวันหนึ่ง หากนางไม่เอ่ยปากพูด ครั้นเฉิงฉือจับพิรุธของนางแล้ว ก็ต้องหาข้ออ้างแก้ตัวอยู่เรื่อยไป แต่ถ้าหากนางกล่าวออกไป ถ้อยคำนี้ควรเรียบเรียงอย่างไรถึงจะไม่ทำให้เฉิงฉือเคลือบแคลงสงสัยเอาได้ แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ นางอยากจะบอกเฉิงฉือเหลือเกิน

นางปรารถนาให้เฉิงจิงเข้าสู่ราชสำนักโดยเร็ว ยิ่งตระกูลเฉิงขยับเข้าใกล้ใจกลางของอำนาจราชสำนักได้มากเท่าใด ก็ยิ่งรับฟังข่าวสารที่ผู้อื่นไม่ได้รับได้มากขึ้นเท่านั้น โอกาสที่จะหลุดพ้นจากโชคชะตาในชาติก่อนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

ทว่าเฉิงฉือกลับไม่คิดเช่นนี้

หากจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เขากับโจวเสาจิ่นเป็นเพียงคนที่ไม่สนิทสนมกันแต่ต้องมาเผยความในใจให้แก่กัน ต่อให้โจวเสาจิ่นได้ยินอะไรมาบ้างหรือทราบอะไรมาบ้าง การที่นางลังเลจะบอกหรือไม่บอกเขานั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่เขาเป็นคนที่สังเกตสิ่งรอบข้างอย่างละเอียดรอบคอบ และจับผิดสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของโจวเสาจิ่นได้โดยไม่ตั้งใจ จึงทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกลำบากใจ

เขาครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ซักถามถึงแหล่งข่าวของเจ้า และจะไม่ซักไซ้ว่าเจ้าทราบได้อย่างไร เจ้าเพียงบอกผลลัพธ์แก่ข้าก็พอแล้ว”

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักรัวๆ

หากว่านางกับเฉิงฉือมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีเหมือนอย่างตอนนี้ได้ล่ะก็ ครั้นถึงยามที่นางต้องบอกเรื่องที่ตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์สินและฆ่าล้างยกตระกูล ท่านน้าฉือจะไม่ไถ่ถามถึงสาเหตุที่มาแต่จะทำเพียงเอ่ยถามถึงผลลัพธ์เฉกเช่นตอนนี้หรือไม่นะ

ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร นางก็ต้องลองดูสักครั้ง

เช่นนี้นางก็ไม่ต้องโกหกซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปกปิดเรื่องปาฏิหาริย์เหนือความเข้าใจที่เกิดขึ้นกับตนเองแล้ว

อย่างไรก็ตาม โจวเสาจิ่นยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย

นางกล่าวอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ข้า…เพียงได้ยินว่า…อาจจะเป็นหวงหลี่เจ้าค่ะ!”

ชาติก่อน นางไม่ได้สนใจเรื่องราวเหล่านี้เลย

ตอนที่ 187 เมืองอี๋เจิน 1

ตอนที่ 187 เมืองอี๋เจิน 2

ตอนที่ 187 เมืองอี๋เจิน 3

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน