โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจคนตะโกนส่งสารผู้นั้น
เห็นเพียงว่าคนตะโกนส่งสารผู้นั้นอายุราวๆ ยี่สิบปี สวมชุดต่วนเฮ่อผ้าเนื้อหยาบสีกรมท่า รูปร่างสูงใหญ่ ถึงแม้จะเห็นใบหน้าไม่ค่อยชัดเนื่องจากอยู่ห่างกันไกลเกินไป แต่กลับเห็นได้ชัดว่าท่วงท่าของเขากระฉับกระเฉงยิ่งนัก
ได้ยินฉินจื่อผิงตอบเช่นนั้น เขาก็รีบวิ่งเข้ามา ยืนอยู่บนฝั่งหันหน้าไปทางหัวเรือแล้วทำความเคารพ กล่าวเสียงดังว่า “ข้าเป็นเสมียนของร้านผ้าฟางจี้แห่งเจียซิง นายท่านของพวกข้าซื้อสินค้าอยู่ที่ฉางโจว ได้ยินว่านายท่านสี่กับฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเฉิงผ่านทางมาที่ฉางโจว จึงให้ข้ามาเฝ้ารออยู่ที่นี่ เมื่อนายท่านสี่กับฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงก็จะกลับไปรายงานเขา…”
ขณะที่กำลังกล่าวอยู่นั้น มีชายร่างท้วมสวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหูโจวสีฟ้าผู้หนึ่งใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากไปด้วย วิ่งเข้ามาอย่างรีบเร่งจนไขมันส่วนเกินของร่างกายส่ายไปมาไปด้วย พลางกล่าวขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าพี่ชายท่านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร ข้าเป็นหลงจู๊ใหญ่ของร้านผ้าฟางจี้นามว่าตู้หมิง นายท่านของพวกข้าจะมาถึงในอีกไม่ช้า รบกวนพี่ชายช่วยนำความไปแจ้งให้สักหน่อยขอรับ”
ขณะที่เขากล่าว ก็โค้งตัวทำความเคารพฉินจื่อผิงครั้งหนึ่ง
ฉินจื่อผิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็คือหลงจู๊และเสมียนของร้านผ้าฟางจี้นี่เอง ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปรายงานนายท่านสี่กับฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้าเดี๋ยวนี้”
โจวเสาจิ่นได้ยินถึงตรงนี้ก็เข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
หากนางจำไม่ผิดละก็ ร้านผ้าฟางจี้แห่งเจียซิงนี้น่าจะเป็นกิจการของฟางซินถงผู้ที่ร่ำรวยที่สุดแห่งเจียซิงผู้นั้น
นางนึกถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลฟางผู้มีกิริยามารยาทสง่างามผู้นั้น
ผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว คุณหนูใหญ่ตระกูลฟางก็อายุมากขึ้นอีกหนึ่งปีแล้ว ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลฟางจะแต่งงานไปหรือยัง
นางครุ่นคิดพลางปิดหน้าต่างเรือ สั่งชุนหว่านและคนอื่นๆ ว่า “นายท่านสี่มีแขก ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวอาจขึ้นมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าบนเรือ พวกเจ้าอย่าได้เดินเพ่นพ่านไปทั่ว”
ชุนหว่านและคนอื่นๆ ต่างขานรับอย่างพร้อมเพียงกัน
ไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากบนท่าเรือ
โจวเสาจิ่นจึงปิดประตูและไม่ออกไปไหน
กระทั่งสื่อมามามาเรียกนางไปรับมื้อเย็น นางถึงได้เดินตามออกไปยังห้องพักโดยสารของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
เฉิงฉือก็อยู่ด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอารมณ์ไม่สู้ดีนัก แต่เฉิงฉือกลับยังคงเป็นเหมือนปกติ พอเห็นโจวเสาจิ่นเข้ามา เขายังหันมายิ้มพลางพยักหน้าให้โจวเสาจิ่น แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดอากัปกิริยาที่ธรรมดาสามัญนี้กลับไปกระทบความรู้สึกของฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ ทันใดนั้นน้ำตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไหลรินลงมาเป็นสายฝน กล่าวสะอึกสะอื้นว่า “ชายสี่ เจ้าไปรับตำแหน่งขุนนางเถิด! เจ้าอย่าได้สนใจเรื่องวุ่นวายในบ้านนี้อีกเลย ไปใช้ชีวิตของเจ้าเถิด เจ้าสุนัขฟางซินถงผู้นี้ เป็นเพียงซิ่วไฉตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น ถึงกับกล้ามาวางท่าต่อหน้าพวกเจ้า ไม่ดูตัวเองบ้างว่าเป็นตัวอะไร จะรับผิดชอบไหวหรือไม่…”
“ท่านแม่ๆ” เฉิงฉือก้าวออกไปโอบกอดไหล่ของฮูหยินผู้เฒ่ากัว กระซิบปลอบมารดาเสียงเบาว่า “ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ท่านกล่าวมาหรอกขอรับ ผู้อื่นเพียงพูดอะไรที่ทำให้ท่านฟังแล้วไม่สบายใจไม่กี่ประโยคเท่านั้น เว้นแต่ว่าจะขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านตลอดชีวิต ไม่อย่างนั้นผู้คนไหนเลยจะไม่ได้ยินคำพูดที่ไม่ลื่นหูบ้างตลอดชีวิตได้” ขณะที่กล่าว ก็มองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวต่อว่า “ท่านดูสิขอรับ ยังมีคนรุ่นหลานอยู่ที่นี่ด้วย ท่านเป็นเช่นนี้คงทำให้ตกใจแย่แล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วถึงได้หยุดร้องไห้ไปอย่างขอลุแก่โทษ
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดว่าอย่างไรเสียก็คงหลบออกไปไม่ทันแล้ว จึงดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วยื่นส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เด็กดี วันนี้อารมณ์ของข้าไม่สู้ดีนัก จึงไม่ร่วมรับมื้อเย็นด้วยแล้ว เจ้าอยากกินอะไร ก็ให้ห้องครัวทำให้เจ้าเถิด พรุ่งนี้เช้าเจ้าค่อยมาอ่านพระธรรมให้ข้าฟังก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นขานรับ “เจ้าค่ะ” อย่างเชื่อฟัง แล้วกลับห้องไปพร้อมกับชุนหว่าน
ชุนหว่านง่วนอยู่กับการจัดอาหารเย็นให้โจวเสาจิ่น ส่วนโจวเสาจิ่นกลับคิดถึงเรื่องของฟางซินถง
ตอนงานวันคล้ายวันเกิดอายุครบแปดสิบปีของท่านผู้นำตระกูลจวนรอง ตระกูลฟางก็ส่งคนไปร่วมอวยพรวันเกิดท่านผู้นำตระกูลจวนรองด้วย ถึงแม้ทั้งสองตระกูลจะไม่นับว่ามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมาอย่างยาวนานแต่ก็น่าจะพอมีมิตรภาพที่ดีต่อกันบ้างถึงจะถูก แล้วเหตุใดครั้งนี้ถึงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโกรธมากถึงเพียงนี้ได้
หลังจากที่นางรับมื้อเย็นไปอย่างลวกๆ แล้ว ก็ไปหาจี๋อิ๋ง
จี๋อิ๋งยืนกางขาเล็กน้อยอยู่กลางห้องพักโดยสาร กำลังบิดตัวโค้งไปมาอยู่
“เจ้าช่วยไปถามฉินจื่อผิงให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ดูว่าเขาพอจะรู้หรือไม่ว่าฟางซินถงกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวและนายท่านสี่คุยอะไรกันบ้าง เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้โกรธถึงเพียงนั้น!”
“ได้!” จี๋อิ๋งขานตอบไปอย่างส่งๆ
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ดันตัวนางเล็กน้อย กล่าว “เจ้าจริงจังหน่อย เรื่องนี้สำคัญจริงๆ”
“ข้ารู้แล้วๆ” จี๋อิ๋งรีบกล่าว “พรุ่งนี้เจ้ารอฟังข่าวจากข้าให้ดีก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นอยากไปถามเฉิงฉือ แต่เมื่อหวนคิดถึงท่าทางของเฉิงฉือเมื่อครู่นี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก นางจึงจำต้องกลับห้องพักโดยสารไปด้วยใจที่หนักอึ้ง
วันถัดมาฟ้ายังไม่ทันสว่าง จี๋อิ๋งก็มาหานาง กล่าวว่า “ฟางซินถงที่เจ้ากล่าวถึงผู้นั้น นายท่านสี่ไม่ได้ไปพบเขา เป็นเขาที่นั่งคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเพียงลำพังนานกว่าครึ่งค่อนวัน พูดอะไรทำนองว่าทั้งสองตระกูลเป็นสหายกันมานานหลายชั่วอายุคน แล้วก็เรื่องที่นายท่านสี่ต้องการขายเครื่องทอผ้าที่หังโจวนั้นเขามีใจอยากจะรับช่วงต่อ แต่ช่วงนั้นกำลังขยายร้านค้า เวลานั้นจึงมีเงินไม่พอ ก็เลยไม่กล้ามาคุยเรื่องซื้อเครื่องทอผ้ากับนายท่านสี่ แต่เมื่อหลายวันก่อนเขาเพิ่งจะได้รับงานมาจากเจ้าเมืองเจียซิง ให้ทอผ้าให้กับราชสำนัก ใครจะรู้ว่าเครื่องทอผ้ากลับมีไม่พอ จึงอยากจะใช้โอกาสนี้มาถามนายท่านสี่ว่ายังมีเครื่องทอผ้าเหลืออยู่บ้างหรือไม่ ให้นายท่านสี่หาวิธีแบ่งไปให้เขาสักหน่อย”
นี่ฟังดูแล้วก็ปกติดีอย่างยิ่งนี่นา!
แล้วเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงต้องปวดใจถึงเพียงนั้นด้วย
จี๋อิ๋งแอบบอกนางเบาๆ ว่า “นายท่านสี่ของพวกข้าทำเรื่องไม่ธรรมดาไว้เรื่องหนึ่ง เนื่องจากเขาไม่ชอบที่กิจการทอผ้ามีเรื่องจุกจิกเกินไป ก็เลยขายโรงทอผ้าภายใต้ชื่อของตระกูลเฉิงออกไปทั้งหมด ก่อนหน้านี้ นายท่านสี่ให้ไหวซานไปติดต่อตระกูลฟางก่อน พ่อค้าย่อมมองหาแต่ผลกำไร ตระกูลฟางจึงต่อรองราคากับนายท่านสี่! ด้วยความโมโหนายท่านสี่จึงขายเครื่องทอผ้าทั้งหมดให้กับคนผู้หนึ่งชื่อว่าเจิ้งซื่อ เดิมทีเจิ้งซื่อผู้นั้นมาจากชนชั้นรากหญ้า เรื่องการทอผ้าให้ราชสำนักจึงไม่อาจไปถึงมือของเขาได้ แต่เขามีเครื่องทอผ้าและแรงงานทอผ้าอยู่ในมือ! หากฟางซินถงไม่รับงานทอผ้าของราชสำนักมาทำก็ดีอยู่หรอก แต่หากเขารับงานทอผ้าของราชสำนักมา ด้วยกำลังการผลิตของโรงงานทอผ้าของฟางซินถงย่อมไม่มีทางทำทั้งหมดได้ แต่หากแบ่งให้ผู้อื่นช่วยทำ ตอนนี้เจิ้งซื่อเป็นโรงงานทอผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเจียงหนาน และก็มีแรงงานทอผ้าที่ดีที่สุดของเจียงหนานอยู่ในมือ หากเขาคิดจะมองข้ามเจิ้งซื่อไป เช่นนั้นก็รอให้ถึงเวลาที่ส่งมอบงานไม่ทันแล้วจ่ายค่าชดเชยเอาก็แล้วกัน! แต่ถ้าเขาแบ่งงานไปให้เจิ้งซื่อทำ ก็เท่ากับว่าเจิ้งซื่อรับงานมาทำอีกต่อหนึ่ง เจิ้งซื่อไม่เพียงไม่ต้องซาบซึ้งในบุญคุณของเขา แต่ยังต่อรองราคากับฟางซินถงได้ตามความต้องการอีกด้วย…ครั้งนี้เขามาเพื่อสำนึกผิด แต่ใครจะรู้ว่าพอฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วกลับรู้สึกว่าเขาตบหน้านายท่านสี่ไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้รู้ผลเสียแล้ว ยังจะมาหาด้วยเจตนาร้ายแอบแฝงเสมือนสุนัขจิ้งจอกที่มาขอเยี่ยมเยียนไก่อีก…”
ช่างซับซ้อนจริงๆ!
โจวเสาจิ่นกำชับย้ำกับจี๋อิ๋งนานกว่าครึ่งค่อนวันว่า “อย่าออกไปวิ่งเพ่นพ่านข้างนอก ระวังอย่าให้คนจากกลุ่มเดินสมุทรพบตัวได้” จากนั้นทั้งสองคนถึงได้แยกย้ายกัน
ปรากฏว่าเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เจิ้งซื่อผู้นั้นเร่งมาหาจากหังโจวเป็นคนแรก จากนั้นเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลฟางต้องการขึ้นมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวบนเรือ

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน