ฟางซินถงและเจิ้งซื่อตามพวกเขาไปจนถึงโจวซาน
เฉิงฉือยังคงไม่พบพวกเขาทั้งสองคนเช่นเดิม
พวกเขาหยุดพักที่โจวซานหนึ่งวัน เตรียมธูปและเทียนเรียบร้อยแล้ว มุ่งหน้าไปยังเขาผู่ถัว
ตอนออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าขมุกขมัว ครึ้มเล็กน้อย โจวเสาจิ่นกังวลว่าฝนอาจจะตก แต่เฉิงฉือกลับบอกว่าไม่เป็นไร “วันนี้มีลมพัดมา ช่วงบ่ายก็น่าจะมีแดดแล้ว”
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ กระทั่งใกล้จะถึงยามซื่อเจิ้ง[1] พระอาทิตย์ก็ปรากฏตัวออกมาจริงๆ
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าควรจะเป็นคนงานที่ทำงานอยู่บนเรือบ่อยๆ ถึงจะเข้าใจหรอกหรือ
โจวเสาจิ่นรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก นางไปหาเฉิงฉือ
เฉิงฉือกำลังยืนรับลมอยู่ตรงหัวเรือ ฉินจื่อผิง ไหวซานและคนอื่นๆ ต่างรับใช้อยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นเข้ามา พวกเขาทำความเคารพโจวเสาจิ่นอย่างขึงขัง แล้วถอยออกไปอยู่ข้างๆ
โจวเสาจิ่นถามเฉิงฉือว่า “ท่านพยากรณ์อากาศได้อย่างไรหรือเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่ามีเพียงผู้อาวุโสในหมู่บ้านเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเมื่อใดจะมีฝนตกเมื่อใดจะมีลมพายุ!”
มุมปากของเฉิงฉือกระตุก ถามขึ้นว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘ปฏิทินต้าเหยี่ยน’”
ไม่รู้!
โจวเสาจิ่นลอบขบคิดอยู่ในใจ ทว่ากลับกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าแต้มยิ้มว่า “แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอ่านแล้วเข้าใจนี่เจ้าคะ ไม่อย่างนั้นกองดาราศาสตร์คงเต็มไปด้วยฝูงชนแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวเรียบๆ ว่า “ผู้อื่นข้าไม่รู้ แต่ข้าอ่านแล้วเข้าใจก็พอแล้ว”
โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม รู้สึกว่าลึกๆ แล้วท่านน้าฉือก็ทะนงตัวไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม หากนางฉลาดเหมือนท่านน้าฉือ เกรงว่าอาจจะทะนงตัวยิ่งกว่าเขาเสียอีก
เมื่อคิดเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าความจริงแล้วท่านน้าฉือเป็นคนที่ถ่อมตนไม่น้อย
นางเดินมาถึงหัวเรือ
ดวงอาทิตย์ขจัดปัดเป่าหมู่เมฆครึ้มออกไป ท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้าใส เกาะเล็กๆ ที่อยู่ไกลๆ สีเขียวชอุ่มน่ามอง หลับใหลอยู่เงียบๆ ท่ามกลางคลื่นสีฟ้าอันไกลโพ้น
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ร้องออกมาอย่างประหลาดใจว่า “ช่างเหมือนกับสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งจริงๆ ทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่งตามไปด้วยได้”
เฉิงฉือไม่กล่าวสิ่งใด ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ นาง
ทั้งสองคนมองไปยังเขาผู่ถัวที่อยู่ไกลๆ โดยไม่พูดอะไรอยู่นาน
ตอนเที่ยง ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นมา
ท้องฟ้าจึงยิ่งเป็นสีฟ้า ท้องน้ำจึงยิ่งเป็นสีเขียวมรกต ก้อนเมฆก้อนใหญ่ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า ราวกับความฝันก็ไม่ปาน
เรือของพวกเขาเข้าจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของเขาผู่ถัว
ผู้คนที่เดินทางมาสักการะต่างหยุดยืนดู ถึงแม้ทุกวันจะมีคนเดินทางไปและมาระหว่างโจวซานกับเขาผู่ถัวเป็นจำนวนมาก แต่คนที่นั่งเรือสำเภามาเช่นพวกเขานี้กลับมีน้อยยิ่ง
คนเรือวางกระไดเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนกระโดดพรวดขึ้นมา กล่าวเสียงดังว่า “ใช่นายท่านสี่หรือไม่ ผู้น้อยคือหลงจู๊จากสาขาหนิงโปนามว่าหวังเสี่ยว ได้รับคำสั่งจากหลงจู๊ใหญ่ของสาขาเจียงหนานให้ล่วงหน้ามาต้อนรับนายท่านสี่ขอรับ!”
ฉินจื่อผิงออกไปตอบรับ เขายิ้มพลางเชิญหวังเสี่ยวขึ้นมาบนเรือ
หวังเสี่ยวชี้ไปที่คนแบกเกี้ยวที่มาด้วยกันที่อยู่ด้านล่างเรือ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คนงานล้วนเตรียมพร้อมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอให้นายท่านสี่ ฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูขึ้นเกี้ยวเท่านั้นขอรับ”
ฉินจื่อผิงยิ้มพลางกล่าวชมเขาไปหลายประโยค แล้วพาเขาไปพบเฉิงฉือ
เป็นครั้งแรกที่หวังเสี่ยวได้พบกับเฉิงฉือ เขาตื่นเต้นจนตัวสั่นไม่หยุด หลังจากที่คุกเข่าลงโขกศีรษะแล้วก็ยืนอยู่ข้างๆ อย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไร
โชคดีที่เฉิงฉือรีบขึ้นฝั่ง ถามหวังเสี่ยวไปไม่กี่ประโยคก็เตรียมตัวลงจากเรือ
ชิงเฟิงรีบไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและโจวเสาจิ่นเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยตั้งนานแล้ว เพียงรอให้เรือเทียบท่าเท่านั้น พอได้ยินว่าเวลานี้ลงเรือได้แล้ว โจวเสาจิ่นจึงประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกจากห้องโดยสาร ทั้งสี่ด้านถูกล้อมเอาไว้ด้วยผ้าอย่างง่ายๆ โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ รีบขึ้นเกี้ยว ฉินจื่อผิงคอยกำกับพวกบ่าวชายแบกหามเครื่องบูชาตามอยู่ด้านหลังเกี้ยว หวังเสี่ยวและพระรูปหนึ่งที่วัดฝาอวี่ส่งมาต้อนรับแขกเดินนำทางอยู่ด้านหน้า คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังวัดฝาอวี่ที่ตั้งอยู่ทางซ้ายของยอดเขาหลักอันงดงามของเขาผู่ถัว
ท่านเจ้าอาวาสวัดฝาอวี่ได้รับจดหมายแจ้งมาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว จึงพาพระและพระผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขก พร้อมทั้งสามเณรที่ให้การรับใช้มารออยู่ที่หน้าประตูวัด
เมื่อเห็นเกี้ยวของตระกูลเฉิง ท่านเจ้าอาวาสวัดก็ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง
เฉิงฉือก้าวออกมาคารวะท่านเจ้าอาวาสวัด
ท่านเจ้าอาวาสวัดยิ้มพลางเอ่ยคำว่า “อมิตาภพุทธ” แล้วกล่าวอีกว่า “ประสกเฉิงฉือเดินทางมาไกล น่ายกย่องสรรเสริญในความศรัทธา อาตมาให้คนจัดเตรียมห้องหับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูพักผ่อนสักครู่ อีกประเดี๋ยวอาตมาจะพาฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูไปจุดธูปที่วิหารกวนอิมด้วยตัวเอง”
วิหารกวนอิมเป็นวิหารหลักของวัดฝาอวี่
หลังจากที่เฉิงฉือกล่าวทักทายท่านเจ้าอาวาสวัดด้วยรอยยิ้มนอบน้อมหลายประโยคแล้ว ก็ไปรับน้ำชาที่ห้องนั่งสมาธิ ส่วนเกี้ยวของพวกนางก็ถูกยกไปจอดที่เรือนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากประตูวัด
หวังเสี่ยวมารับผิดชอบงานด้วยตัวเอง จึงมาทำความสะอาดเรือนเตรียมเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เนื่องจากต้องพักอยู่ที่เขาผู่ถัวสองวัน หลังจากที่โจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ฝานหลิวซื่อและสื่อมามารั้งอยู่ในเรือนเพื่อจัดเก็บหีบสัมภาระ ปี้อวี้และคนอื่นๆ ที่ห้อมล้อมพวกนางอยู่ก็พากันเดินตามอยู่ด้านหลังของพระผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกมุ่งหน้าไปยังวิหารกวนอิม
เช่นเดียวกับวัดมีชื่ออื่นๆ วัดฝาอวี่สร้างติดกับภูเขา ลำดับการสร้างค่อยๆ สูงขึ้นไป


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน