เห็นได้ชัดว่าเฉิงฉือคิดไม่ถึงว่าวัดฝาอวี่จะมาหาประโยชน์จากเขา
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “หากตอนที่พวกท่านไประดมทุนบริจาคที่จินหลิงแล้วข้ายังอยู่จินหลิง ย่อมเป็นหน้าที่อยู่แล้ว”
พระผู้ต้อนรับแขกผู้นั้นร้อง “เอ๋” ออกมาเสียงหนึ่ง ถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ประสกเฉิงฉือมีแผนจะออกเดินทางไกลในเวลาอันใกล้นี้หรือ”
“ไม่อาจกล่าวได้ว่าออกเดินทางไกล” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เพียงแต่ว่าข้าดูแลกิจการของที่บ้าน ภายในเวลาสิบวันมีเจ็ดวันแล้วที่ไม่อยู่บ้าน เวลาที่อยู่บ้านอีกสามวันก็มักจะต้องร่วมงานสังคมอยู่บ่อยๆ ยากนักกว่าจะมีเวลาว่าง จึงเกรงว่าตอนที่พวกท่านไปนั้นจะเป็นตอนที่ข้าไม่อยู่บ้านพอดี อย่างไรก็ตาม ข้าจะสั่งการพ่อบ้านของที่บ้านเอาไว้ให้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้พวกท่านเดินหลงทางอยู่ในเมืองจินหลิงได้!” เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย แฝงความหมายเย้าแหย่อยู่ด้วยหลายส่วน
ในส่วนของการให้การแนะนำเทือกนั้น กลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักคำ
พระผู้ให้การต้อนรับแขกผู้นั้นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
เดิมทีเขาคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จและภาคภูมิใจในตัวเองตั้งแต่อายุน้อยอย่างเฉิงฉือนี้มักจะให้ความสำคัญกับหน้าตา หากพูดด้วยคำพูดดีๆ ต่อให้ในใจจะไม่ยินยอมแต่ก็อาจจะพยายามทำให้รับปากได้…คิดไม่ถึงว่าจะเตะโดนกระดานเหล็กเข้าเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในโลกใบนี้ไม่ใช่ทุกเรื่องจะทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว ตนเพียงต้องคิดหาวิธีทำดีกับประสกเฉิงฉือผู้นี้ต่อไปอย่างอดทน
เขายังคงเดินมุ่งหน้าไปขึ้นเขาเป็นเพื่อนเฉิงฉือและคนอื่นๆ อย่างยิ้มแย้มและกระตือรือร้นเช่นเดิม
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นอายุมากแล้ว เดินไปได้ครู่ใหญ่ก็เริ่มหายใจหอบแล้ว
โจวเสาจิ่นที่เดินอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับเฉิงฉือที่คอยสังเกตมารดาอยู่ตลอดก็สังเกตเห็นได้ในทันที คนหนึ่งเดินไปประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัว อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “เดินมากว่าครึ่งค่อนวันก็เริ่มเหนื่อยแล้วเหมือนกัน พวกเราพักขาตรงนี้สักครู่ก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นกล่าวสมทบว่า “ดี” ไม่ขาดสาย
ปี้อวี้ที่ติดตามมาด้วยรีบหยิบเบาะรองนั่งจากมือของบ่าวชายเด็กไปปูบนก้อนหินที่อยู่ข้างๆ
โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งลง ตอนนี้เองถึงเพิ่งค้นพบว่าทางด้านตะวันออกของพวกเขาเป็นชายหาดผืนหนึ่ง
ระหว่างที่คลื่นสีฟ้ากระเพื่อมตัวขึ้นเป็นระลอกคลื่นนั้น น้ำทะเลกับท้องฟ้าก็กลายเป็นสีเดียวกัน ตอนที่คลื่นทะเลลอยตัวสูงขึ้นนั้น ดูราวกับเชือกสีขาวเส้นหนึ่งที่ม้วนตัวตลบลงมา ภาพนี้ไม่เพียงทำให้โจวเสาจิ่นที่ไม่เคยเห็นทะเลมาก่อนรู้สึกตื่นตาตื่นใจเท่านั้น แต่ยังรู้สึกว่าเป็นภาพที่งดงามยิ่งอีกด้วย
นางชี้ไปยังที่ไกลๆ นั้นอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าท่านดูสิเจ้าคะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองตามไป ประจวบเหมาะกับคลื่นทะเลลูกหนึ่งโถมตัวลงมา สาดกระเซ็นแตกกระจายเป็นกลุ่มก้อนฟองคลื่น
“ทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่รู้ว่าปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่ทะเลสาบเฉียนถังงดงามกว่าหรือว่าชายหาดของเขาผู่ถัวงดงามกว่านะเจ้าคะ!”
“ต่างมีจุดเด่นของตัวเอง” ไม่รู้ว่าเฉิงฉือเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด ยืนมองชายหาดอยู่ข้างๆ โจวเสาจิ่นพลางกล่าว “ฟองคลื่นของที่นี่ใหญ่โตมโหฬารกว่า แต่ฟองคลื่นของที่นั่นกลับเสมือนกับฝูงม้านับหมื่นวิ่งตะบึงไป รอให้เจ้าไปดูแล้วก็จะรู้เอง”
โจวเสาจิ่นตั้งหน้าตั้งตารออย่างอดใจไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับยืนขึ้นแล้วเดินออกไปเบื้องหน้าสองสามก้าว มองไกลออกไปยังเกาะเล็กๆ ที่อยู่เบื้องหน้า
ชุนหว่านดึงแขนเสื้อของโจวเสาจิ่น เปล่งคำพูดไร้เสียงสองพยางค์ว่า “หวีสับ”
นางหมายจะให้ตนถามท่านน้าฉือว่าออกไปซื้อได้ตอนใด
โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย
จี๋อิ๋งกระซิบถามเสียงเบาว่า “เป็นอะไรหรือ”
“เปล่า” โจวเสาจิ่นกล่าว พลางคิดว่าเล่าเรื่องนี้ให้จี๋อิ๋งฟังก็ไม่เลวเหมือนกัน ไม่แน่ว่าจี๋อิ๋งอาจคิดวิธีช่วยเหลือให้ได้ก็เป็นได้ จึงกล่าวต่อว่า “พวกข้าต้องการซื้อของกลับไปสักหน่อย เลยดูว่าเมื่อไรจะออกไปซื้อของได้”
“พวกข้า?” จี๋อิ๋งกระซิบกล่าวเสียงเบา “คงไม่ใช่เจ้ากับสาวใช้ของเจ้าหรอกกระมัง”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย กล่าว “ข้าเองก็อยากซื้อของกลับไปเป็นของฝากเช่นกันนี่นา!”
จี๋อิ๋งรู้สึกหดหู่ใจ กล่าวขึ้นว่า “ในเวลาเช่นนี้เจ้ากลับยังกังวลถึงสิ่งของพวกนั้นได้ เจ้าทำให้ข้าไม่รู้จะว่าอะไรเจ้าแล้วจริงๆ”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องว่าอะไรก็แล้วกัน” โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “บางคนชื่นชอบทิวทัศน์ที่งดงาม บางคนก็ชื่นชอบการซื้อของ การออกมาท่องเที่ยวไม่ใช่เพื่อแสวงหาสิ่งที่แต่ละคนชื่นชอบหรอกหรือ”
“ช่างเถอะๆ ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว” จี๋อิ๋งแสร้งทำเป็นไม่พอใจ กล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าก็ครุ่นคิดไปก็แล้วกันว่าจะซื้ออะไรกลับไปดี!”
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยี เฉิงฉือที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่อให้ไม่อยากฟังก็ต้องฟังนั้นลอบยิ้มกับตัวเองอย่างอดไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าเด็กผู้นี้ดูท่าทางแล้วเป็นคนนุ่มนวลโอนอ่อนผ่อนตาม แต่เวลาพูดหรือกระทำกลับมีบางอย่างที่เหมือนคนฉลาดที่มักทำตัวต่ำต้อยออกมาให้เห็นอย่างทื่อๆ
***
วัดฮุ่ยจี้ไม่อาจเปรียบได้กับวัดฝาอวี่ที่ใหญ่โตโอฬาร แต่มันถูกสร้างอยู่ท่ามกลางโขดหินสูงและผืนป่า เงียบสงบยิ่งนัก ยืนอยู่ด้านหน้าประตูวัดจะมองเห็นเขาผู่ถัวได้ทั้งหมด แต่เมื่อเดินเข้าไปในประตูวัด เสียงนกขับขาน กลิ่นหอมของดอกไม้ ยอดเขาทรงแปลกประหลาดอันเงียบสงบ กลับกลายเป็นทัศนียภาพอีกแบบหนึ่ง
พระผู้ให้การต้อนรับได้รับสารแจ้งแล้วรีบออกมาต้อนรับ
เฉิงฉือพาพวกเขาเดินรอบๆ วัดฮุ่ยจี้หนึ่งรอบ ตีระฆังที่หอระฆังในวัดฮุ่ยจี้ ดื่มน้ำชาอยู่ในศาลาที่อยู่หลังเขา บริจาคเงินค่าธูปและน้ำมันเป็นเงินห้าร้อยเหลี่ยง เมื่อเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว พระผู้ให้การต้อนรับจากวัดฝาอวี่จึงพาพวกเขาเดินทางกลับวัดฝาอวี่จากเส้นทางที่อยู่ทางทิศใต้ของภูเขา
การเดินไปและกลับเช่นนี้ นอกจากเฉิงฉือและอีกหลายคนแล้ว ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเหนื่อยอ่อนออกมาให้เห็น หลังจากที่กินอาหารเจไปอย่างลวกๆ แล้ว ต่างคนต่างก็กลับห้องไปพักผ่อน
เนื่องจากมีชุนหว่านที่คุ้นเคยอยู่เป็นเพื่อนนาง อีกทั้งยังมีเฉิงฉือร่วมทางมาด้วย ไม่นานโจวเสาจิ่นก็นอนหลับสนิทอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคยได้อย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้นยังต้องให้ชุนหว่านปลุกให้ตื่นอีกด้วย
นางล้างหน้าล้างตาไปรอบหนึ่งอย่างนึกละอาย แล้วรีบเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังรอเฉิงฉือมารับมื้อเช้าด้วยกัน เห็นโจวเสาจิ่นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหูโจวไร้ลวดลายสีม่วงแกมชมพูอ่อนตัวหนึ่ง เส้นผมดำเงางามรวบขึ้นเป็นมวยบริเวณต้นคอ ปักด้วยปิ่นทองดอกติงเซียง น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก ดูประหนึ่งดอกไห่ถังตูมที่ปรารถนาจะเบ่งบานแล้วก็ไม่ปาน ดูแล้วทำให้อารมณ์ดีขึ้นหลายส่วน จึงอดไม่ได้กล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “วันนี้แต่งตัวได้งดงามยิ่งนัก อายุยังน้อย ต่อไปต้องแต่งตัวเช่นนี้บ่อยๆ ถึงจะถูก”
โจวเสาจิ่นขานรับว่า “เจ้าค่ะ” ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ เงยหน้าขึ้นก็เห็นเฉิงฉือเดินเข้ามา
เขาสวมชุดนักพรตเต้าเผาเนื้อผ้าละเอียดสีดำตัวหนึ่ง สีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน ท่วงท่าสบายๆ และเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งคนที่เดินออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน
“ท่านแม่!” เขาก้าวออกมาทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวขึ้นว่า “ข้าเชิญให้ทางวัดช่วยประกอบพิธีสวดมนตร์ให้พวกเรา ประเดี๋ยวท่านอยากจะไปดูหรือไม่ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า
หลังจากรับมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว พวกเขาไปวิหารใหญ่ที่อยู่ข้างๆ วิหารอวี้เปยพร้อมกัน


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน