ถึงแม้ว่าท่านบรรพบุรุษเฉิงซวี่แห่งตระกูลเฉิงจะลาออกจากราชสำนักแล้วเนื่องด้วยอาการเจ็บป่วยเมื่อสิบปีที่ก่อน ทว่าลูกศิษย์ ผู้ติดตาม หรือสหายเก่าแก่ก็ยังมีอยู่ทั่วทุกหนแห่งทั้งในและนอกราชสำนัก ยังคงมีอิทธิพลหลงเหลืออยู่ นายท่านผู้เฒ่าใหญ่เฉิงจิงแห่งตระกูลเฉิงจวนหลักดำรงตำแหน่งจิ่วชิง [1] อีกเพียงหนึ่งขั้นก็จะได้รับมอบตำแหน่งเป็นหัวหน้าในกรมวัง เฉิงสวี่จากตระกูลเฉิงจวนหลัก เฉิงสือจากตระกูลเฉิงจวนรอง เฉิงเจิ้งจากตระกูลเฉิงจวนสาม เฉิงเก้าจากตระกูลเฉิงจวนสี่ ล้วนแต่เป็นเมล็ดพันธ์แห่งผู้มีความรู้ สอบผ่านได้เป็น ซิ่วไฉ [2] แล้ว ทั้งยังมีชื่ออยู่ในกลุ่มผู้ที่ผ่านการคัดเลือก ผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นในเวลานี้ จะทำเรื่องที่ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเสื่อมเสียได้อย่างไร?
นางตกใจอย่างมาก ด้วยกำลังต่อต้านความรู้สึกจนไม่ได้ปิดปากน้องสาวให้แน่น
หรือตอนหกล้มที่ข้างทะเลสาบเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น?
ไม่เช่นนั้นแล้ว น้องสาวที่เชื่อฟังและน่ารักมาตลอดนั้นจะพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาได้อย่างไร
โจวชูจิ่นตกใจจนหัวใจเต้นตึกตัก ไม่กล้าแสดงอะไรออกมาทางสีหน้า ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องพูดปลอบโยนน้องสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้าเพียงฝันร้ายเท่านั้น!”
โจวเสาจิ่นงงงัน
พี่สาวผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งและใกล้ชิดนางที่สุดไม่เชื่อนาง ทั้งยังมาบอกนางอย่างสดใสว่า นางเพียงฝันร้ายไปเท่านั้น!
ความฝันจะเสมือนจริงขนาดนี้ได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ
นางรีบเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในตอนนั้นให้พี่สาวฟัง ทว่าพี่สาวกลับดวงตาแดงก่ำและจับมือของนางไว้ กล่าวอย่างเจ็บปวดว่า “ข้ารู้ ข้ารู้ ที่เจ้าพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง เพียงแต่ว่าตอนนี้ดึกแล้ว เจ้าต้องพักผ่อนแล้ว รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าก่อน พี่สาวค่อยมาฟังเจ้าเล่า ดีหรือไม่”
เป็นเพียงคำพูดที่ต้องการเอาใจ ปลอบโยนและทำให้สงบลงเท่านั้น
หัวใจของโจวเสาจิ่นหนักอึ้ง
นางไม่รู้จะรับมือกับพี่สาวแบบนี้อย่างไร จึงเลี่ยงมองไปทางหน้าต่าง
เวลานี้เป็นช่วงพลบค่ำพอดี แสงยามโพล้เพล้ย้อมชานเรือนจนกลายเป็นสีเหลืองส้มอบอุ่น บ่าวเด็กในจวนหลายคนกำลังเล่นเตะลูกขนไก่ เสียงหัวเราะของพวกนางเสมือนกับเสียงระฆังเงินที่ดังก้องกังวานอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ในลาน ป้าตู้ที่เป็นบ่าวในครัวนั้นยิ้มกว้างขณะกำลังยกสำรับข้าวข้ามมาจากตรงกลางลาน บ่าวเด็กๆ เหล่านั้นเกือบจะชนนางเข้า ป้าเจ้าที่เป็นบ่าวทำความสะอาดเรือนนั้น ไม่รู้ว่าพุ่งออกมาจากที่ใด ทั้งดึงแขนเสื้อทั้งเอ็ดเสียงดังใส่บ่าวเด็กเหล่านั้น บ่าวเด็กเหล่านั้นหวาดกลัวได้แต่ก้มหัวโค้งตัวลง รีบกล่าวขอความเมตตาไม่หยุด ป้าตู้ผู้ใจดี ยืนขวางอยู่ที่ด้านหน้าของเด็กๆ ออกหน้าพูดแทนให้
ต้นองุ่นกำลังผลิใบอ่อน ดอกกุหลาบเลื้อยตรงมุมกำแพงกำลังเบ่งบานราวกับเพลิงราวกับดอกถูอย่างมีชีวิตชีวา ดอกอวี้หลานดอกใหญ่ขาวเนียนราวหยก ห้อยกระจัดกระจายบนต้นอวี้หลานต้นสูง
หากว่านี่คือดินแดนแห่งความฝัน แล้วตนเองเล่าจะนับเป็นตัวอะไร
ในใจของโจวเสาจิ่นเย็นยะเยือก
หรือจะเป็นตนเองที่เข้าใจผิด?
ขณะที่มองไปยังพี่สาวที่ถึงแม้จะดูเป็นกังวล แต่ก็ยังเป็นคนที่รอบคอบรัดกุมเฉกเช่นเมื่อก่อน ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นไม่อาจมั่นใจได้ว่า แท้จริงแล้วตนเองเพียงแค่ฝันร้ายไปอย่างที่พี่สาวพูด หรือจะเป็นอย่างที่ตนเองคิดว่าเป็นการกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
โจวชูจิ่นช่วยจัดหมอนให้น้องสาวด้วยตัวเอง ประคองโจวเสาจิ่นให้นอนลง กล่าวขึ้นว่า “เด็กดี พี่สาวจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้าหลับตาลงแล้วนอนสักตื่น ตื่นขึ้นมาอะไรๆ ก็จะดีขึ้น”
สุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่เชื่อนาง
อารมณ์ของโจวเสาจิ่นสับสนว้าวุ่น
คำพูดของพี่สาวอาจจะถูกต้องแล้วก็ได้!
นางปลอบใจตัวเอง หลับตาลง
กลางดึก นางถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยฝันร้าย
พี่สาวที่นอนหลับอยู่ข้างกายนางคลานขึ้นมาในทันที กอดนางเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น ตบหลังนางเบาๆ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “เด็กดี ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว พี่สาวอยู่ข้างๆ เจ้า!”
ร่างกายของโจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยเหงื่อ อยากจะพูดอะไรกับพี่สาวสักหน่อย พอเหลือบตาขึ้น กลับพบว่าในดวงตาของพี่สาวนั้นมีความกลัวพาดผ่านอยู่เล็กน้อย
อย่างไรแล้วพี่สาวก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบแปดปีผู้หนึ่ง นางเพียงผู้เดียวกลับต้องพาน้องสาวที่ยังเด็กนักไปอาศัยอยู่ที่จวนของผู้อื่น ก็ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่ตื่นตระหนก เป็นกังวลและตกใจกลัว!
โจวเสาจิ่นนิ่งงัน เป็นครั้งแรกที่ตระหนักได้ว่า พี่สาวในสายตาของตัวเองผู้ซึ่งเข้มแข็งและทำได้ทุกอย่างนั้น อย่างไรแล้วก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาผู้หนึ่ง แล้วก็มีช่วงเวลาที่จำเป็นต้องมีคนมาปกป้องและให้พึ่งพิง
มุมปากของนางสั่นเทา สุดท้ายก็เม้มปากแน่น และไม่พูดอะไร
ตอนเช้าของวันถัดมา โจวชูจิ่นปล่อยให้โจวเสาจิ่นอยู่ภายในห้อง ส่วนตนเองนั้นไปที่เรือนของท่านยาย ฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ไม่นานนัก ข่าวอาการป่วยของโจวเสาจิ่นก็มาถึงบนเรือน โจวเหนียงจื่อผู้ซึ่งให้การรักษาบรรดาผู้หญิงในตระกูลเฉิงก็ถูกเชิญมาที่จวน เรือนสวนดอกไม้หอมจึงเริ่มตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพร ภรรยาของหม่าฟู่ซานผู้ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ภายในจวนของตระกูลโจวก็รุดหน้ามาเข้าเยี่ยมเช่นเดียวกัน หลังจากที่ได้กระซิบคุยกับโจวชูจิ่นแล้ว นางก็เดินทางอย่างเงียบเชียบเพื่อไปจุดธูปขอพรตามวัดที่อยู่ใจกลางเมืองจินหลิง ทั้งวัดพุทธและเต๋า ไม่เพียงไปขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำมาให้โจวเสาจิ่น ยังมีกำยานและยันต์กระดาษมาด้วย
โจวชูจิ่นให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานค้างคืนที่เรือน
กลางดึก พวกนางลุกขึ้นมาเผายันต์กระดาษ
โจวเสาจิ่นที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยฝันร้ายยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง มองไปที่เปลวไฟตั้งแต่ที่ไฟกำลังลุกโชนจนกระทั่งมันมอดดับเงียบไปอย่างสงบนิ่ง จากนั้นหมุนตัวกลับขึ้นเตียงแล้วหลับตาลง
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน?
ทำไมต้องโต้เถียงกับพี่สาวเพราะเรื่องนี้ แล้วทำให้นางต้องหวาดกลัวและเป็นกังวล ทำลายความความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง
ทว่าทุกครั้งที่ถูกทำให้กลัวเพราะฝันร้ายยามดึกสงัดนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า หากว่าเรื่องราวที่นางประสบมานั้นเป็นเรื่องจริง ตระกูลเฉิงก็อาจจะโดนตรวจสอบ ยึดทรัพย์ และถูกลงโทษ ท่านยาย ท่านลุง พี่ชาย หรือแม้แต่บ่าวรับใช้หญิงชายเหล่านั้นที่เคยให้การรับใช้นาง ทุกคนที่นางรู้จักในตระกูลเฉิง อาจต้องตายทั้งหมด!
เช่นนี้แล้วก็ยังจะให้นางแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นหรือ
ความเมตตาของท่านยาย ความรักระหว่างสายเลือดของพี่สาว ความเอื้ออารีย์ของท่านลุงใหญ่ ทั้งยังท่านป้าใหญ่ พี่ชายเก้า พี่ชายอี้ที่ล้วนดีต่อนาง นางก็จะปล่อยไป ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็รู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ผวาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อาจข่มตาให้หลับลงอีกครั้งได้อีก



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน