ตระกูลเลี่ยวแห่งเจิ้นเจียงไม่เพียงมีชื่อเสียงที่เจิ้นเจียงเท่านั้น ยังนับว่าเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในเจียงหนานอีกด้วย เพียงแต่ยามที่ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ตระกูลเลี่ยวเสื่อมอำนาจลงไม่น้อยเมื่อเทียบกับตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูในเมืองจินหลิง หรือตระกูลกู้แห่งไห่หนิงในเมืองหังโจว ถึงกระนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยังรับป้ายชื่อของตระกูลเลี่ยวมา และยังพบฟางซื่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลเลี่ยวด้วยอัธยาศัยไมตรีอีกด้วย
ฟางซื่อเป็นสตรีจากตระกูลฟางที่ซูเฉิง เป็นญาติพี่น้องกับหยวนซื่อ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนที่ได้ยินมายามที่ยังเป็นหญิงสาวก็เพียงเท่านี้ กระทั่งเมื่อออกเรือนไป คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เจิ้นเจียง ส่วนอีกคนอยู่ที่จินหลิง สามีของคนหนึ่งหยุดอยู่ที่ตำแหน่งจวี่เหริน ทว่าสามีของอีกคนกลับได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนจึงค่อยๆ ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ฟางซื่อถึงกับฝากฝังให้เฉิงจิงเป็นพ่อสื่อให้เลี่ยวเส้าถังบุตรชายคนโตของตน และนี่ถึงได้มีการเกี่ยวดองกันระหว่างตระกูลโจวกับตระกูลเลี่ยวทั้งสองตระกูลขึ้นมา
ผู้ที่ติดตามฟางซื่อมาด้วยกันคือจงหมัวมัว
นางตามอยู่ข้างหลังฟางซื่ออย่างพินอบพิเทา ตอนที่สายตาสะดุดเห็นโจวเสาจิ่น นางเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างปกปิดเอาไว้ไม่อยู่
ปีนี้ฟางซื่อน่าจะอายุประมาณสี่สิบปี รูปร่างผอมเพรียว ผิวขาวเนียนละเอียด หน้าตาพริ้มเพรา ท่วงท่าสง่างาม เห็นแล้วราวกับอายุเพียงสามสิบกว่าปีเท่านั้น ดูแลเอาใจใส่รูปร่างหน้าตาได้ดียิ่ง
พอเห็นจงหมัวมัวเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา นางก็ปรายตามองจงหมัวมัวอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง แล้วตวัดสายตามองโจวเสาจิ่นแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ยิ้มพลางก้าวออกมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้สื่อมามาประคองนางขึ้นมา แล้วบอกให้ปี้อวี้ยกเก้าอี้มาเพิ่ม กระทั่งฟางซื่อกล่าวขอบคุณขณะนั่งลง และพวกสาวใช้ก็ยกน้ำชาและของว่างมาขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว นางถึงได้ชี้ไปโจวเสาจิ่นพลางกล่าว “นี่คือคุณหนูรองในจวนพวกข้า จะว่าไปแล้วยังเป็นญาติที่จะดองกับเจ้าอีกด้วย กล่าวคือ นางเป็นน้องสาวของสะใภ้คนโตของเจ้า”
ฟางซื่อตกตะลึงเป็นอย่างมาก ถึงได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจงหมัวมัวผู้มากประสบการณ์ถึงหลุดแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมา
สำหรับเรื่องแต่งงานที่เฉิงจิงทาบทามให้บุตรชายคนโตในครั้งนี้ นางไม่ค่อยพอใจสักเท่าใดนัก
ความจริงแล้วผู้ที่นางหมายมั่นจะให้บุตรชายแต่งงานด้วยคือเฉิงเซิงบุตรสาวของนายท่านรองของจวนหลัก
ใครจะรู้ว่าเฉิงจิงไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ กลับผลักคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวมาให้นาง
ตอนนั้นนางคิดจะปฏิเสธ แต่เวลานั้นน้องเขยคนเล็กเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือนในกรมพิธีการฝ่ายซ้าย อีกทั้งด้วยเหตุที่สามีหลงเชื่อถ้อยคำของสหายแล้วเสียเงินจำนวนมหาศาลไปกับการซื้ออักษรภาพปลอมกลับมา หากไม่คิดหาทางกลบเกลื่อนให้ทันท่วงที สามีคงทำให้ตระกูลเลี่ยวกลายเป็นที่น่าขบขันในเจิ้นเจียงไปเสียแล้ว ไม่คาดคิดว่าลูกหลานของตระกูลบัณฑิตที่มีชื่อเสียงเก่าแก่จะแยกทองกับหินไม่ออกแล้วถูกคนหลอกลวงเอาได้ เช่นนั้นยังจะนับเป็นลูกหลานของตระกูลที่มีการศึกษาได้อย่างไร ยังจะนับเป็นบัณฑิตผู้ทรงความรู้ได้อย่างไร
นางจึงต้องรีบหาเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่งมาข่มขวัญคนของตระกูลเลี่ยว
เรื่องที่เฉิงจิงเป็นพ่อสื่อให้บุตรชายคนโตของนาง จึงกลายเป็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายที่นางคว้าเอาไว้ได้ในตอนนั้น แม้ว่านางจะลังเลเป็นอย่างมาก แต่สามีกลับตอบตกลงอย่างเต็มปากเต็มคำไปแล้ว นางจึงหมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ ได้แต่เชิญพ่อสื่อไปสู่ขอ
ทว่ายิ่งอยู่ผลงานของบุตรชายคนโตก็ยิ่งโดดเด่น ความไม่พอใจที่นางมีต่อบุตรสะใภ้คนนี้จึงยิ่งแรงกล้าขึ้น ตอนที่แม่สามีเสียชีวิตและงานแต่งงานของบุตรชายถูกเลื่อนออกไปนางถึงกับรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งเลยทีเดียว
นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางใส่ใจโจวชูจิ่นเป็นพิเศษ
นางต้องการหาเหตุผลหนึ่งมาปลอบใจตนว่า การตัดสินใจของนางในตอนนั้นไม่ได้ผิดพลาด
ตอนนี้พอเห็นโจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่ข้างฮูหยินผู้เฒ่ากัว จิตใจของนางก็พลันสงบลงมา
ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวได้รับความโปรดปรานจากคนในตระกูลเฉิงมากกว่าคุณหนูรองตระกูลโจว การที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงกับพาคุณหนูรองตระกูลโจวไปถวายธูปเทียนที่เขาผู่ถัวด้วยเช่นนี้ แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงสถานะของคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวในตระกูลเฉิง
ตอนที่โจวเสาจิ่นก้าวออกมาทำความเคารพนางนั้น รอยยิ้มฟางซื่อเปลี่ยนเป็นเป็นมิตรขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถอดปิ่นระย้าทองคำที่ปักอยู่บนมวยผมมอบให้โจวเสาจิ่นเป็นของขวัญพบหน้า “ไม่รู้ว่าคุณหนูรองติดตามฮูหยินผู้เฒ่ามาด้วย เป็นความผิดของข้า เจ้ารับปิ่นนี้เอาไว้ก่อน ป้ามาอย่างกะทันหันไปสักหน่อย จึงเป็นของไม่ค่อยมีราคา รอให้ไปเยือนเป็นแขกที่เรือนของป้า ป้าจะมอบของขวัญพบหน้าชดเชยให้เจ้าอีกชิ้นหนึ่ง”
“ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ควรจะเป็นผู้น้อยไปคารวะผู้ใหญ่ แต่เนื่องจากยังต้องปรนนิบัติผู้อาวุโส จึงไม่เหมาะสมนักหากจะออกไปข้างนอกตามอำเภอใจ อันที่จริงสองสามวันมานี้ก็คิดจะรอให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีเวลาว่างสักหน่อยแล้วค่อยไปเยี่ยมเยียนท่าน คิดไม่ถึงว่าท่านจะมาเสียก่อน ผู้น้อยรู้สึกละอายใจจริงๆ ไหนเลยจะยังกล้ารับของขวัญพบหน้าของฮูหยิน รอวันไหนที่ข้าได้ไปเยี่ยมเยียนฮูหยินอย่างเป็นทางการ ฮูหยินค่อยตกรางวัลแก่ข้าแล้วกันเจ้าค่ะ”
เพื่อพี่สาวแล้ว นางพยายามแสดงท่าทีเคารพนบนอบอย่างสุดความสามารถ
ฟางซื่อเห็นนางวางตัวได้อย่างเหมาะสมทั้งยังสุภาพอ่อนน้อม ก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ความคาดหวังต่อโจวชูจิ่นจึงเพิ่มขึ้นหลายส่วน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ผู้ใหญ่ให้ของ ไม่อาจปฏิเสธได้ เจ้ารับเอาไว้เถิด ตอนมาเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการย่อมต้องเตรียมของขวัญเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการเอาไว้ให้อีกชิ้นหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ แล้วรับของขวัญแรกพบของฟางซื่อมา
ความจริงทั้งสองคนต่างรู้ดีแก่ใจว่า ที่โจวเสาจิ่นกล่าวว่าจะไปเยี่ยมเยียนฟางซื่อนั้น ก็เป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น ไหนเลยจะมีเหตุผลอะไรให้น้องสาวของสะใภ้ที่ยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านสามีไปเยี่ยมเยียนแม่สามีของพี่สาว และที่กล่าวว่าเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการนั้น นั่นก็หมายถึงตอนที่โจวเสาจิ่นไปเยี่ยมเยียนพี่สาวหลังจากที่โจวชูจิ่นแต่งงานเข้าตระกูลเลี่ยวแล้ว
พวกนางแลกเปลี่ยนคำทักทายกันสองสามประโยค จากนั้นฟางซื่อก็สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัว
เรื่องที่นางพูดล้วนเป็นเรื่องอดีตในวันวานเหล่านั้น ไม่ต่างจากฮูหยินของเฉินซู่หมิงผู้เป็นปลัดเจ้าเมืองเจิ้นเจียงที่มาเยี่ยมพวกนางผู้นั้น เกรงว่าคงจะมีเรื่องขอไหว้วานเช่นกัน
โจวเสาจิ่นจึงหาข้ออ้างออกจากห้องโดยสาร
แต่นางก็รู้สึกเป็นกังวลถึงเรื่องของตระกูลเลี่ยวยิ่งนัก
สุดท้ายแล้วตระกูลเลี่ยวก็เป็นตระกูลสามีของพี่สาวนาง หากว่าเกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลเลี่ยว พี่สาวนางย่อมต้องทุกข์ร้อนตามไปด้วยเป็นแน่
ชาติก่อนนางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลเลี่ยวหรือไม่ นางรู้แต่ว่าพี่สาวแต่งเข้าตระกูลเลี่ยวไปอย่างราบรื่น ฟันฝ่าคำครหาของคนที่คิดว่าการแต่งงานของพี่สาวกับตระกูลเลี่ยวจะต้องพบเจอกับอุปสรรคไปอย่างราบคาบ
นางขอร้องปี้อวี้ว่า “เจ้าช่วยเฝ้าสังเกตให้ข้าที เผื่อว่ามีข่าวร้ายอะไร”
ปี้อวี้เข้าใจความกังวลของโจวเสาจิ่นดี นางขยิบตาให้โจวเสาจิ่น พลางกล่าว “ท่านวางใจเถอะ วันนี้เป็นเวรของข้ากับเจินจู พวกข้าสองคนจะตั้งใจสังเกตให้เป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่ที่ใช้วิธีนวดจุดที่เฉิงฉือสอน เจินจูไม่เพียงหายดี แต่ยังหายจากอาการเมาเรืออีกด้วย โจวเสาจิ่นยังฝึกนวดจุดกับปี้อวี้จนนวดเป็นแล้วเหมือนกัน
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณนาง


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน