ผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติก่อนต่อชีวิตนี้ไม่มีทางที่จะประเมินได้เลย
ความเชื่อมั่นที่โจวเสาจิ่นมีต่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นหาใดเปรียบได้ ก็เหมือนกับที่นางเชื่อว่าการที่เฉิงฉือหลบหนีไปขณะที่ตระกูลถูกโค่นล้มได้นั้นเขาต้องไม่เหมือนกับคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งเป็นแน่ นางเชื่อมั่นในตัวของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ยิ่งเชื่อว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่เล่าความลับของตระกูลเก่าแก่เหล่านี้ให้นางฟังโดยไม่มีเหตุผลเป็นแน่ เพียงแต่นางโง่เขลา ในเวลานี้ยังไม่เข้าใจเจตนาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่เมื่อเวลานานเข้า เมื่อนางเรียนรู้ได้ละเอียดขึ้น ก็คงกระจ่างขึ้นในสักวัน
นางจึงได้แต่ตั้งใจฟัง และจดจำเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ในใจให้ดีก็พอ
เรือจึงค่อยๆ แล่นเข้าใกล้เจิ้นเจียงมากขึ้นอย่างช้าๆ
เฉิงฉือแก้โจทย์ๆ หนึ่งเสร็จแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ว่า ดูเหมือนตนจะไม่เห็นโจวเสาจิ่นมาหลายวันแล้ว
ไม่ใช่ว่าล้วนนางเดินเทียวไปเทียวมาเบื้องหน้าตนทุกวันหรอกหรือ
หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
เขาเรียกป้าซางมาสอบถาม
ป้าซางกล่าวยิ้มๆ ว่า “หลายวันมานี้คุณหนูรองอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าตลอดเลยเจ้าค่ะ! ทุกๆ วันหากไม่ฟังฮูหยินผู้เฒ่าสนทนากัน ก็ทำงานเย็บปัก หรือไม่ก็เล่นอยู่เป็นเพื่อนคุณชายน้อยซ่งดังเช่นแต่ก่อน ไม่ค่อยออกมาจากห้องพักโดยสารเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือรู้สึกฉงนในใจ เช่นนั้นหลายวันก่อนนางมาหาตนหลายครั้งหลายคราเพื่ออันใด
น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขายุ่งมาก ไม่มีเวลาว่างมาสนใจเรื่องอื่น
เฉิงฉือลอบรู้สึกคล้ายว่าตนได้ละเลยอะไรบางอย่างไป
เขาไปที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังนั่งหัวเราะร่าอยู่บนตั่งหลัวฮั่นพลางฟังฮูหยินซ่งกับโจวเสาจิ่นสนทนากัน “…เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! หลายวันก่อนข้าเห็นเจ้าเย็บปักแล้วไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่เมื่อคืนพอเห็นเชือกผูกตู้โตวของเซินเกอเอ๋อร์รุ่ยเล็กน้อย ข้าจึงคิดว่าข้าเย็บไปอย่างลวกๆ สักสองเข็มก็พอแล้ว กระทั่งข้าหยิบเข็มและด้ายขึ้นมาถึงได้ค้นพบว่า เรือลำนี้โคลงเคลงยิ่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะสนเข็มได้ จวบจวนตอนที่เย็บเชือกกลับรู้สึกตาลายและวิงเวียนศีรษะ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้มองผ้าเวลาเย็บเลย แต่เย็บไปตามความรู้สึกที่เคยชินมากกว่า! ข้าเคยพบช่างเย็บปักที่มีฝีมือเก่งกาจเช่นนี้ แต่ไม่เคยเห็นคุณหนูจากตระกูลใดแม้คนเดียวที่เย็บปักได้เช่นนี้” พูดจบ ก็คิดว่าตนพลั้งปากพูดผิดไปบ้าง จึงรีบกล่าวใหม่ว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่าคุณหนูรองเหมือนช่างเย็บปัก ข้าหมายความว่าบรรดาคุณหนูเหล่านั้นมีน้อยคนนักที่ตั้งใจฝึกเย็บปักเช่นนี้…” ประโยคนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ถูก นางจึงกล่าวอีกว่า “บางคนต่อให้ตั้งใจฝึกฝนอย่างคุณหนูรองเช่นนี้ ก็ไม่มีทางเป็นได้อย่างคุณหนูรองเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นร่วมเดินทางมากับนาง ค่อนข้างเข้าใจแล้วว่านางเป็นคนเช่นไร จึงไม่คิดจะเอ่ยขัด กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเพียงชื่นชอบงานเย็บปักเท่านั้นเจ้าค่ะ เรื่องใดก็ตามหากใส่คำว่า ‘ชื่นชอบ’ สองคำนี้ลงไปแล้ว ก็มักจะทำได้ดีกว่าผู้อื่นเจ้าค่ะ”
“นั่นก็จริง” ฮูหยินซ่งกล่าวถึงตนเองอีกครั้งว่า “ดังเช่นข้าที่แต่ก่อนชื่นชอบการร่ำเรียนมาก ดังนั้นถึงแม้จะไม่เคยได้เล่าเรียนในสำนักศึกษา แต่ได้เชิญอาจารย์มาสอนเป็นการส่วนตัว จึงพอรู้อักษรบ้าง”
โจวเสาจิ่นกำลังจะเอ่ยตอบ ทว่าปี้อวี้กลับเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มร่า กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่มาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกยินดีอย่างลิงโลด เดินออกจากห้องชั้นในโดยมีโจวเสาจิ่นช่วยประคอง
เฉิงฉือรีบก้าวออกมาทำความเคารพ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางมองสำรวจบุตรชาย เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเขาดียิ่ง รอยยิ้มจึงยิ่งทวีความปรีดา เอ่ยถามว่า “ธุระของเจ้าเสร็จแล้วหรือ”
“ยังไม่นับว่าเสร็จดีขอรับ” เฉิงฉือยิ้มพลางก้าวออกมา ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกข้าง กล่าวว่า “เพียงแต่ความคิดเห็นไม่ลงรอยกับท่านผู้เฒ่าซ่งขอรับ พวกข้าจึงตัดสินใจแยกย้ายกันออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อยเพื่อเรียบเรียงความคิด รอให้ถึงพรุ่งนี้บ่ายๆ ค่อยมารวมตัวกันใหม่ขอรับ”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็เผยสีหน้ากังวลขึ้นมาในทันที ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทำไมหรือ พวกเจ้าแตกคอกันหรือ”
“ไม่ถึงกับแตกคอกันหรอกขอรับ” เฉิงฉือประคองมารดานั่งลงบนตั่งหลัวฮั่น จากนั้นตนก็นั่งลงทางด้านขวาของมารดา ยิ้มพลางกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “เพียงแต่ว่าความคิดของทุกคนไม่ตรงกันเล็กน้อยเท่านั้น เขาโน้มน้าวข้าไม่ได้ ข้าก็โน้มน้าวเขาไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันชั่วคราว อย่างไรก็ตาม เรื่องการจัดการแม่น้ำไม่เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ไม่ใช่เสียงของผู้หนึ่งผู้ใดดังกว่าอีกผู้หนึ่งถึงจะมีเหตุผล ดังนั้นท่านไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ รอให้ข้าคำนวณตัวเลขที่ถูกต้องออกมาได้ ท่านผู้เฒ่าซ่งย่อมเห็นดีเห็นงามด้วย เช่นเดียวกัน หากเขาคำนวณตัวเลขที่ถูกต้องออกมาได้ ข้าก็ย่อมเห็นด้วยอย่างจริงใจเช่นกันขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นต่างไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังยิ้มพลางกล่าวตามความเข้าใจของตนว่า “กล่าวได้ว่า พวกเจ้าปะทะคารมแต่ไม่ได้สู้รบตบมือ ดังเช่นการดูโหราศาสตร์ กล่าวว่าวันนี้ฝนจะตก หากว่าฝนตก เช่นนั้นเจ้าก็ชนะ แต่ถ้าฝนไม่ตก เจ้าก็แพ้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นองค์ฮ่องเต้ ก็ไม่มีทางที่จะพูดความจริงให้เป็นเรื่องเท็จได้”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ถ้าหากเป็นองค์ฮ่องเต้ ยังมีทางที่จะพูดความจริงให้เป็นเรื่องเท็จได้นะขอรับ หากเขาบอกว่าวันพรุ่งนี้ฝนจะตก มีหรือที่พญามังกรจะกล้าไม่ทำให้ฝนตกในวันพรุ่งนี้ได้ หากว่าไปเดิมพันกับเขา เช่นนั้นย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนขอรับ”
โจวเสาจิ่นกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ขำพรืดออกมาเช่นกัน พลางกล่าว “เจ้าเด็กคนนี้ ชอบหยอกล้อให้ข้าดีใจเล่น”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ทุกครั้งที่ข้าพูดความจริงท่านก็หาว่าข้าหยอกล้อท่าน ทุกครั้งที่ข้าหยอกล้อท่าน ท่านกลับคิดเป็นจริงเป็นจังเสีย ช่างทำให้ข้าลำบากใจจริงๆ ขอรับ!”
โจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างหัวเราะจนตัวบิดตัวงอ
เฉิงฉือชำเลืองมองโจวเสาจิ่นทีหนึ่ง แล้วพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับมารดาอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวออกไป
โจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่งเขาถึงประตูของห้องพักโดยสารแล้วถึงได้หันกลับไป
เฉิงฉือกางตำราหมากล้อมเอาไว้อย่างผ่อนคลาย
แต่จวบจวนเรือสำเภาเทียบท่าแล้ว โจวเสาจิ่นก็ไม่ได้มาหา
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
หากโจวเสาจิ่นมาหาตนด้วยมีเรื่องอะไร เขาก็บอกไปแล้วว่ามีเวลาว่างในช่วงบ่าย จากเมื่อครู่ที่เขาลองหยั่งเชิงท่าทีของโจวเสาจิ่นแล้ว โจวเสาจิ่นก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรตน ก็น่าจะหาโอกาสมาพบตนถึงจะถูก แต่เหตุใดถึงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย
เฉิงฉือย่นหัวคิ้วพลางวางตำราหมากล้อมลง ไปรับมื้อเย็นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน