โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉือพาไหวซานและคนอื่นๆ จากไปเงียบๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก อีกทั้งไม่เหมาะนักที่จะร้องตะโกนเสียงดัง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังพาฮูหยินซ่งไปทำความรู้จักกับทุกคนอยู่ นางส่งสายตาไปให้หลายครั้งแล้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็มองไม่เห็น นางร้อนใจจนแทบจะทนไม่ได้ หมุนกายเกือบจะวิ่งตามไปแล้ว ทว่าถูกเฉิงเจียดึงเอาไว้ กล่าวขึ้นอย่างปวดใจว่า “ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว! เจ้าไม่รู้หรอกว่าหลายเดือนที่เจ้าไม่อยู่นี้ข้ามีชีวิตอย่างไรบ้าง…”
เฉิงเจียเป็นเด็กสาวช่างพูดที่พูดได้ยาวนานประเภทที่ว่ายามดอกสาลี่[1]เบ่งบานแล้วในแจกันดอกไม้ของนางก็ยังมีดอกท้อ[2]ปักอยู่ ถึงแม้นางจะดูเศร้าเสียใจยิ่งนัก แต่โจวเสาจิ่นกลับไม่กังวลใจ กล่าวขึ้นอย่างพอเป็นพิธีว่า “ประเดี๋ยวเจ้าไปที่ห้องของข้าแล้วพวกเราค่อยคุยกันดีๆ อีกที ตอนนี้ข้ามีธุระ…” แต่พอนางหันศีรษะกลับไป ก็ไร้ซึ่งเงาของเฉิงฉือและคนอื่นๆ เสียแล้ว
โจวเสาจิ่นร้อนใจจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ทว่าเฉิงเจียที่อยู่ข้างๆ นางกลับดึงมือของนางเอาไว้แล้วสะอื้นไห้เงียบๆ ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เฉิงเจียอาจจะโมโหอย่างรุนแรง อาจจะเกรี้ยวกราดอย่างกะทันหัน หรืออาจจะถากถางประชดประชัน ทว่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยยอมเสียเกียรติและความทระนงแล้วร้องไห้ต่อหน้าสาธารณะชนเช่นนี้
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก
นางรีบดึงเฉิงเจียไปข้างๆ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
เฉิงเจียหยุดร้อง ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดดวงตาที่แดงก่ำ กล่าวเสียงเบาประโยคหนึ่งว่า “ไม่มีอะไร ช่วงนี้ข้าเพียงอ่อนไหวง่ายไปสักหน่อยเท่านั้น” จากนั้นโดยไม่รอให้โจวเสาจิ่นได้พูดอะไร ก็หมุนกายกลับไปยืนอยู่ข้างๆ เจียงซื่อ ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ มารดาขณะที่ยืนฟังบรรดาผู้อาวุโสกับฮูหยินซ่งกล่าวทักทายกันอย่างยิ้มแย้มด้วยท่วงท่าอ่อนโยนและเชื่อฟัง
เจียงซื่อมองบุตรสาวอย่างพึงพอใจครั้งหนึ่ง แล้วดันเฉิงเจียไปยังเบื้องหน้าของฮูหยินซ่ง “นี่คือบุตรสาวผู้นั้นของพวกข้า ตระกูลเฉิงห้าจวน ทว่ากลับมีหญิงสาวเพียงสี่คนเท่านั้น จะแบ่งไปหนึ่งบ้านหนึ่งคนก็ยังทำไม่ได้ จึงถูกตามใจไปบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าโชคดีที่เด็กคนนี้เชื่อฟัง ไม่ถูกตามใจจนเสียคน งานฝีมือเย็บปักต่างๆ ก็ทำได้ไม่เลว บัญชีต่างๆ ก็ดูเป็นทั้งสิ้น” กล่าวจบ ก็พูดกับเฉิงเจียว่า “ยังไม่รีบทำความเคารพฮูหยินซ่งอีก”
เฉิงเจียก้าวออกไปยอบกายทำความเคารพอย่างเชื่อฟัง
ฮูหยินซ่งรับถุงหอมมาจากป้ารับใช้ข้างกายหมายจะตกรางวัลให้
เจียงซื่อดันแล้วดันอีก
เฉิงเจียทำเพียงยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเขินอายเท่านั้น
เป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุยกัน พวกเราย้ายไปนั่งคุยกันที่ศาลาทิงอวี่กันดีหรือไม่”
คนทั้งกลุ่มถึงได้ตอบรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วเดินล้อมหน้าล้อมหลังฮูหยินซ่งไปที่โถงรับแขก
โจวเสาจิ่นตกตะลึงไปเป็นการใหญ่
ท่าทางนั้นของเฉิงเจีย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นท่าทางของคนที่หมดแล้วซึ่งแรงกายแรงใจ
ช่วงเวลาที่นางไม่อยู่บ้านนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเฉิงเจียมองตนเป็นเสมือนฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายของนาง ทว่าตนกลับผลักนางออกไปอย่างไม่ใยดีเลยแม้แต่น้อย…
โจวเสาจิ่นดึงพี่สาวเอาไว้ กระซิบถามเสียงเบาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพี่สาวเจียใช่หรือไม่เจ้าคะ”
โจวชูจิ่นหันไปมองรอบๆ กระซิบกล่าวเสียงเบาด้วยท่าทีสงบว่า “กลับไปแล้วพวกเราค่อยคุยกัน”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า นั่งอยู่ในโถงรับแขกตามมารยาทราวกับนั่งอยู่บนเบาะที่เต็มไปด้วยเข็ม ไม่ง่ายเลยกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเอ่ยออกมาว่า หลายวันมานี้ฮูหยินซ่งต้องนั่งอยู่บนเรือมาโดยตลอด เหน็ดเหนื่อยยิ่งแล้ว งานเลี้ยงต้อนรับของวันนี้จึงเปลี่ยนเป็นพรุ่งนี้แทน ให้ฮูหยินซ่งได้พักผ่อนดีๆ สักคืนหนึ่ง วันมะรืนค่อยพาฮูหยินซ่งไปเดินเที่ยวเมืองจินหลิง
แต่ละจวนถึงได้แยกย้ายกันกลับ
บางทีอาจเป็นเพราะเฉิงฉือจากไปก่อนเช่นนั้นเลยทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ดียิ่งนัก พลอยทำให้ความยินดีที่ได้กลับบ้านจืดจางลงไปด้วยไม่น้อย
เมื่อกลับถึงเรือนเจียซู่ นางไม่ได้เปิดหีบสัมภาระของตนแล้วนำของฝากที่นางนำกลับมาออกมาแจกจ่ายให้ทุกคนด้วยความยินดีปรีดาเหมือนที่ตนเคยจินตนาการเอาไว้ โดยหลังจากที่นางถูกฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจูงมือไปสอบถามถึงเรื่องต่างๆ ที่ได้พบเจอระหว่างเดินทางไปหลายประโยคแล้วใบหน้าของนางก็เผยความเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น รู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงรีบปล่อยนางกลับไปพักผ่อนที่เรือนหว่านเซียง ยังกล่าวด้วยว่า “มีเรื่องอะไรพวกเราค่อยคุยกันพรุ่งนี้ วันนี้เจ้ากลับไปนอนพักผ่อนดีๆ สักตื่นเถิด”
โจวเสาจิ่นจึงไม่เกรงใจอีก กุมมือพี่สาวแล้วกลับเรือนหว่านเซียงด้วยกัน
ไม่ได้เจอกันหลายเดือน แต่เสวี่ยฉิวยังจำนางได้
นางยังไม่ทันได้เข้าประตูไป เสวี่ยฉิวก็กระโจนเข้าใส่ตัวนางอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นอุ้มเสวี่ยฉิวขึ้นมา
โจวชูจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “รีบวางลงก่อนๆ มันเพิ่งไปเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นมา”
สาวใช้เด็กที่ดูแลเสวี่ยฉิวกล่าวขึ้นอย่างรู้สึกผิดว่า “เดิมทีข้าอยากจะอุ้มมันรออยู่ภายในห้อง แต่จู่ๆ มันก็กระโจนออกจากอกของข้าไปอย่างกะทันหัน แล้ววิ่งออกไปด้านนอกอย่างสุดชีวิต ข้าวิ่งไล่ก็ไล่ตามไม่ทันเจ้าค่ะ…”
“ไม่เป็นไรๆ” โจวเสาจิ่นมองสาวใช้เด็กหน้าตาไม่คุ้นผู้นี้แล้ว จึงรู้ได้ว่าซือเซียงคงแต่งงานออกไปแล้วอย่างแน่นอน นางอดรู้สึกเสียใจขึ้นมาไม่ได้ ยื่นเสวี่ยฉิวส่งให้สาวใช้เด็กผู้นั้น ถามนางว่า “เจ้าชื่ออะไรหรือ”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน