ฮูหยินผู้เฒ่ากวนครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “งานแต่งงานของเก้าเกอเอ๋อร์กำหนดเป็นวันที่สิบเดือนเก้าปีหน้า ฟังจากท่าทีของตระกูลเลี่ยวแล้ว หลานเขยเลี่ยวต้องเข้าร่วมการสอบขุนนางช่วงสารทฤดู[1] หมายจะเลือกฤกษ์ดีสักวันระหว่างเดือนสาม เดือนสี่และเดือนห้าของปีหน้า อีกไม่กี่วันก็คงจะส่งคนมาหารือเรื่องกำหนดวันแล้ว เท่ากับว่าในหนึ่งปีจะมีงานมงคลจัดขึ้นถึงสองงาน ถึงแม้ว่าล้วนเป็นเรื่องดี แต่ข้าว่ารอให้เสร็จเรื่องงานแต่งของเก้าเกอเอ๋อร์ก่อน เสาจิ่นก็จะโตขึ้นอีกหนึ่งปี พวกเราค่อยไปนั่งเจรจากับบุตรเขยถึงเรื่องของเสาจิ่นกับอี้เกอเอ๋อร์กันดีๆ น่าจะดีกว่า”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเคารพการตัดสินใจของแม่สามีมาโดยตลอด กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลานั้นธุระในมือต่างๆ ก็คงเกือบแล้วเสร็จหมดแล้ว พวกเราก็จะได้แบ่งเรี่ยวแรงมาจัดการเรื่องนี้ได้ดีขึ้น ยังคงเป็นท่านที่คิดได้รอบคอบยิ่งเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มน้อยๆ หมายจะกล่าวอะไรอีก ทว่าสองพี่น้องตระกูลโจวผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จเรียบร้อยและเดินเข้ามากันแล้ว นางรีบหันไปส่งสายตาให้บุตรสะใภ้ครั้งหนึ่ง ทั้งสองคนจบบทสนทนาลงยิ้มๆ แล้วพาสองพี่น้องตระกูลโจวเดินไปศาลาทิงอวี่
คนของจวนรองและจวนสามมาถึงกันแล้ว กำลังห้อมล้อมสนทนาอยู่กับฮูหยินซ่ง
โจวเสาจิ่นเห็นเจียงซื่อมีสีหน้าท่าทางสงบนิ่งสบายๆ ไม่มีความเสียใจและกังวลที่ได้ฝังบุตรสาวทั้งเป็นเลยแม้แต่น้อย ก็อดลอบทอดถอนใจไม่ได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจียงซื่อไม่รู้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้หรือเป็นเพราะเจียงซื่อได้จัดเตรียมแผนการสำหรับงานแต่งงานของเฉิงเจียเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วกันแน่ ในตรงกันข้ามเฉิงเจียกลับดูห่อเหี่ยวประหนึ่งมะเขือม่วงต้องน้ำค้างแข็งก็ไม่ปาน เดินตามหลังมารดาอย่างเงียบๆ ต่อให้มีรอยยิ้มทว่านัยน์ตากลับเผยให้เห็นความเศร้าโศกอยู่หลายส่วน นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจแทนเฉิงเจีย
หลังจากงานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นแล้ว โจวเสาจิ่นถูกจัดให้อยู่โต๊ะเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินซ่ง เนื่องจากคนที่ร่วมโต๊ะด้วยยังมีนายหญิงผู้เฒ่าถัง นายหญิงผู้เฒ่าหลี่และผู้อาวุโสท่านอื่นๆ โจวเสาจิ่นถึงแทบจะไม่ค่อยได้รับประทานอะไรนัก ล้วนคอยดูแลให้การรับรองพวกนาง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจิ้งซื่อผู้เป็นสะใภ้ใหญ่สือเห็นแล้วก็ไม่ค่อยชอบใจนัก
เดิมทีคิดว่าเมื่อเฉิงเซิงไปอยู่จิงเฉิงแล้ว ในบรรดาคนรุ่นหลานก็ควรจะเป็นนางที่ได้ชูคอ คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับเชิดชูโจวเสาจิ่น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันนะ
หลังจากรับประทานมื้อกลางวันและดื่มชากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพาฮูหยินซ่งไปเดินเที่ยวชมซอยจิ่วหรู
โจวเสาจิ่นติดตามอยู่ข้างๆ
จวนหลักเรียบง่ายทว่ามีรสนิยม จวนรองงดงามหรูหรา จวนสามโอ่อ่าตระการตา จวนสี่สมถะเรียบง่าย จวนห้าสุกสกาวด้วยอัญมณี ทั้งหมดล้วนทำให้ฮูหยินซ่งกล่าวชมไม่ขาดปาก นี่ถึงจะเป็นการได้สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่และร่ำรวยของตระกูลเฉิงที่สั่งสมมานานอย่างแท้จริง
มื้อเย็นก็ยังคงเป็นโจวเสาจิ่นที่อยู่ร่วมโต๊ะให้การรับรอง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พวกนางไปชมงิ้วกลางคืนที่เรือนซื่ออี๋
ถึงแม้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว แต่ทั้งสี่ด้านแขวนผ้าม่านอุ่นและจุดตะเกียงเอาไว้ ดอกยี่โถสีชมพู ดอกซ่อนกลิ่นสีขาว และดอกทับทิมสีแดงสดแข่งกันเบ่งบาน ทำให้คนฉงนสนเท่ห์ประหนึ่งอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
ฮูหยินซ่งกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ต่างว่ากันว่าบ้านของชนชั้นสูงในเจียงหนานบรรยากาศอบอุ่น ดอกไม้สดงดงาม วันนี้ข้าได้มาเห็นด้วยตาตัวเองถึงได้เชื่อ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “พวกข้าก็ได้อาศัยวาสนาของเจ้า หากเจ้าไม่มา ต่อให้พวกข้าอยากจะหาข้ออ้างหนึ่งมารวมตัวกันเช่นนี้ก็คงทำไม่ได้”
“เห็นทีว่าข้าควรจะมาให้บ่อยเสียแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินซ่งเอ่ยเย้ายิ้มๆ
เจียงซื่อรับคำของนาง “ตอนนี้เป็นฤดูหนาว หากท่านมาช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะได้เห็นทัศนียภาพของฤดูใบไม้ผลิ มาฤดูร้อนก็จะได้เห็นทัศนียภาพของฤดูร้อน กลัวแต่ว่าท่านจะไม่มามากกว่า”
“หากว่ามีเวลาว่าง ข้าต้องมาเยี่ยมเยียนฮูหยินผู้เฒ่าอย่างแน่นอน” ฮูหยินซ่งกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ ทุกคนต่างนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขน
ปี้อวี้ส่งใบรายการแสดงงิ้วให้ฮูหยินซ่งเลือก
ฮูหยินซ่งบ่ายเบี่ยงไปหลายครั้งก็ไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้สำเร็จ จึงเลือกเรื่อง ‘ชมสวนหลังตื่นจากฝัน’ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลือกเรื่อง ‘คุณชายสี่ออกตามหามารดา’ มีงิ้วสองเรื่องนี้แล้วเกรงว่าอาจต้องชมงิ้วไปถึงครึ่งค่อนคืน นายหญิงผู้เฒ่าถังกับนายหญิงผู้เฒ่าหลี่และคนอื่นๆ ต่างก็มีสายตาแหลมคมจึงไม่มีใครเลือกงิ้วเรื่องอะไรเพิ่มเติมอีก
บนเวทีมีส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเริ่มการแสดง
โจวเสาจิ่นนำน้ำชาและของว่างที่สาวใช้ยกเข้ามาวางลงบนโต๊ะน้ำชาข้างๆ ฮูหยินซ่ง แล้วเริ่มอธิบายให้ฮูหยินซ่งทราบคร่าวๆ ว่างิ้วเรื่องนี้แสดงโดยคณะงิ้วใด ใครเป็นตัวละครตัวนาง ใครเป็นตัวละครนางชิงอี[2] ต่างเคยแสดงงิ้วเรื่องอะไรมาบ้าง สถานะชื่อเสียงของคณะงิ้วนี้ในจินหลิงเป็นอย่างไรบ้าง รอจนกระทั่งการแสดงเข้าสู่ช่วงเข้มข้น และฮูหยินซ่งเองก็ชมการแสดงอย่างสนอกสนใจแล้ว นางเปลี่ยนของว่างให้ฮูหยินซ่งใหม่ จากนั้นหันไปส่งสายตาให้เฉิงเจียที่นั่งเล่นนิ้วมืออยู่ไม่ไกลอย่างเงียบๆ แล้วลงจากเรือนไป
ไม่นาน เฉิงเจียก็ตามลงมา
นางถามโจวเสาจิ่นด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “มีอะไร”
อาจเป็นได้ว่ายังโกรธเคืองที่โจวเสาจิ่นปฏิบัติกับอย่างขอไปทีในวันนั้นอยู่
โจวเสาจิ่นกุมมือของนางเอาไว้
สีหน้าของนางดีขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “มีอะไรเจ้าก็พูดมาตรงๆ หากเจ้าอยากจะกล่าวปลอบโยนก็ไม่จำเป็นแล้ว อย่างไรเสียข้าก็เป็นเช่นนี้ไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจแย่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว และข้าก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะด้วย…” ทว่าน้ำเสียงอบอุ่นขึ้นมาก
โจวเสาจิ่นยิ้ม
เฉิงเจียมากจะปากร้ายดังมีดกรีดทว่าใจอ่อนยวบเป็นเต้าหู้อยู่เสมอ
นางกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “แล้วเจ้ามีแผนการอะไรหลังจากนี้”
เฉิงเจียหม่นหมอง กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าก็ไม่รู้ ท่านแม่บอกว่า อีกไม่กี่วันทุกคนก็จะลืมไปเอง แต่ข้าถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ กลับรู้สึก…รำคาญใจยิ่งนัก!”
โจวเสาจิ่นเข้าใจ
นางตบหลังมือของเฉิงเจียเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “คืนนี้เจ้ามาหาข้าที่เรือนก็แล้วกัน! ข้าเอาของกลับมาฝากเจ้าเยอะแยะเลย”
เฉิงเจียพยักหน้าอย่างใจลอย กลับขึ้นไปบนเรือน
แต่ตอนนางเห็นของฝากที่โจวเสาจิ่นซื้อกลับมาฝากนางที่เรือนหว่านเซียงนั้น นางก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา “เสาจิ่น เจ้าซื้อของพวกนี้มาจากที่ใดหรือ งดงามยิ่งนัก! เหตุใดเจ้าถึงไม่ซื้อกลับมาให้มากอีกสักหน่อย ยังมีหวีสับอีกหนึ่งชุด วาดลายชมสวนหลังตื่นจากฝันเอาไว้ด้วย…พวกเขาช่างคิดยิ่งนัก!” นางเค้นถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าต้องซื้อของฝากกลับมาฝากอาจูและคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลกู้ด้วยเป็นแน่ เจ้ารีบเอาออกมาให้ข้าดูหน่อย ข้าอยากดูว่าของที่เจ้ามอบให้พวกนางมีลวดลายอะไรบ้าง”
โจวเสาจิ่นไม่มีทางเลือก จำต้องเอาของที่จะมอบให้พวกอาจูออกมาให้เฉิงเจียดู
เฉิงเจียประเดี๋ยวก็หยิบปิ่นปักผมแก้วขึ้นมาดู ประเดี๋ยวก็หยิบหวีสับขึ้นมาดู สุดท้ายถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าส่งแต่ปิ่นปักผมไปให้พวกนางได้หรือไม่ แล้วมอบหวีสับพวกนี้ให้ข้าแทน”
“ย่อมไม่ได้!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะชื่นชอบหวีสับขนาดนี้ หากรู้แต่เนิ่นๆ ข้าคงซื้อกลับมาให้มากอีกสักหน่อย อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินคนข้างกายของท่านน้าฉือกล่าวว่า เมืองจินหลิงของพวกเรานี้มีร้านหนึ่งชื่อว่า ‘ฮวาเสี่ยงหรง’ ก็ขายหวีสับของฉางโจวโดยเฉพาะ เพียงแต่พวกเราไม่รู้เท่านั้น พวกเราไปเดินเล่นที่นั่นสักวันก็ได้”
เฉิงเจียถึงได้วางมือลง



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน