ตอนนี้ มือคู่นี้กำลังประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่อย่างนอบน้อม ด้วยท่าทียอมจำนน
เช่นเดียวกับในชาติก่อน เจ้าของมือคู่นี้ก็ไม่อาจปิดแผ่นฟ้าด้วยมือเดียวได้ ยังมีคนที่สามารถทำให้นางต้องลดศีรษะที่หยิ่งทะนงนั้นลงได้ ยังมีคนที่สามารถทำให้นางต้องลดหัวคิ้วเก็บหางตา กล้ำกลืนควบคุมและจัดการอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ให้ได้
เวลานี้ โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกชอบความเข้มงวดเด็ดขาดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นมาเล็กน้อย
ชาติก่อน หากไม่ใช่เพราะว่ามีฮูหยินผู้เฒ่ากัวควบคุมเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่าหยวนซื่อจะทำอะไรกับตนอีกบ้าง
นางสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้งหนึ่ง รวบรวมความกล้าแล้วเงยหน้าขึ้น
ตนเองไม่ใช่โจวเสาจิ่นผู้อ่อนแอไร้ความสามารถผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว มีเหตุผลอะไรให้หยวนซื่อมาดูถูกตนเองได้?
เส้นผมที่ดำขลับทำให้ผิวของนางยิ่งขาวเนียนใสมากยิ่งขึ้น ดวงตาที่เปล่งประกายทำให้นางดูราวกับเทพที่จรัสไปด้วยรัศมีแห่งความสุข ใบหน้าเปล่งปลั่งสุขภาพดี
หยวนซื่อ ไม่ว่าตอนไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่สดใสมีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์โดดเด่น
โจวเสาจิ่นกลับมีความรู้สึกราวกับกำลังยืนชมวิวอยู่บนอาคารสูง
กระทั่งถึงตอนที่ต้องทำความเคารพหยวนซื่อ นางขยับขึ้นด้านหน้าทำความเคารพด้วยท่าทีที่ไม่โอหังแต่ก็ไม่ได้ประจบสอพลอ กล่าวทักทายด้วยร้อยยิ้มและน้ำเสียงอ่อนโยน
ในแววตาของหยวนซื่อที่มองนางนั้นกลับมีความประหลาดใจราวกับจำผิดคน ยิ้มพลางกล่าว “ไม่เจอเพียงไม่กี่วัน คุณหนูรองดูสดใสยิ่งขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว”
พูดราวกับว่าพวกนางไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ในความเป็นจริงแล้ว ตระกูลเฉิงล้วนเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่พร้อมกัน และส่งโคมไฟแก่กันเป็นประจำทุกปี แต่จากลักษณะนิสัยของโจวเสาจิ่นในกาลก่อนแล้ว นางอาจจะแอบอยู่ที่ด้านหลังของพี่สาว หรือไม่ก็หลบอยู่ตรงมุมห้องโถง เห็นหน้าค่าตาไม่ชัด หยวนซื่อเลยไม่ได้สังเกตเห็นว่านางนั้นก็ปกติดี
นางยิ้มน้อยๆ เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเป็นธรรมชาติ
ในดวงตาของหยวนซื่อมีลำแสงแห่งความประหลาดใจพาดผ่านอยู่ อยากจะพูดอะไรต่ออีกสักหน่อย ทว่ามีเสียงของฝีเท้าที่หนักและลุกลี้ลุกลนดังเข้ามาจากที่ไกลๆ ผสมปนเปมากับเสียงตำหนิของหญิงชราว่า “…เร็วเข้าๆ …ให้พวกเจ้าจัดเตรียมเกี้ยวเอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว หูของพวกเจ้าไปอยู่เสียที่ไหนหมด”
ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นเพียงหญิงแข็งแรงสองคนกำลังแบกเกี้ยวเดินอย่างรีบเร่งมุ่งหน้ามาทางนี้
หญิงชราบนเกี้ยวนั้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ คาดด้วยผ้าคาดศีรษะสีเขียวขี้ม้า บนผ้าคาดฝังด้วยมรกตขนาดเท่าหัวนิ้วโป้งชิ้นหนึ่ง บนใบหูประดับไว้ด้วยตุ้มหูมรกตขนาดเท่ากัน สวมชุยเพ่ยจื่อสีเหลืองแก่ลายก้อนเมฆทรงกลม ตรงคอเสื้อมีกระดุมไข่มุกจากทางใต้ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองเรียงกันอยู่สามเม็ด ถึงแม้ว่าคนจะอวบอ้วนอุดมสมบูรณ์ แต่บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้นกลับมีผิวพรรณที่ขาวเนียนละเอียดดังหญิงสาวอายุน้อย ดวงตาทั้งคู่นั้นยิ่งดูเปล่งประกายสดใสและมีชีวิตชีวา
ผู้นี้ก็คือถังซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนรอง
เฉิงลี่ นายท่านผู้เฒ่าของจวนรองเสียชีวิตไปนานแล้ว นางครองตัวเป็นหม้ายอยู่ที่ตระกูลเฉิง ไม่เพียงเลี้ยงดูบุตรชายอย่างเฉิงอี๋เท่านั้น ยังช่วยแม่สามีทำหน้าที่ดูแลเรือน บางครั้งยังดูแลจัดการกิจการของจวนรองเป็นครั้งคราวด้วย จนกระทั่งแม่สามีเสียชีวิตไป จึงยิ่งดูแลทั้งเรื่องภายในและภายนอกด้วยตัวคนเดียว ดูแลจัดการจวนรองจนเจริญรุ่งเรือง เฉิงซวี่ ผู้นำตระกูลจวนรองให้ความสำคัญและความเคารพนางเป็นอย่างยิ่ง เป็นบุคคลที่มีน้ำหนักและเชื่อถือได้ทั้งในจวนและนอกจวนของจวนรองผู้หนึ่ง ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้จะมอบหมายหน้าที่ในจวนให้กับหงซื่อ บุตรสะใภ้ไปแล้ว แต่หากว่ามีเรื่องที่สำคัญๆ หงซื่อยังต้องเชิญนางมาเป็นผู้ตัดสินใจ
“ขออภัยด้วยๆ ข้ามาสายแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าถังยิ้มพลางลงจากเกี้ยวโดยการประคองของสาวใช้ พลางกล่าว “เดี๋ยวถึงวัดกันเฉวียนแล้ว ข้าขอเลี้ยงอาหารเจทุกคนเอง”
แล้วก็ไม่อธิบายว่าทำไมตนเองถึงมาสาย
ค่อนข้างมีความหยิ่งผยองในทำนองว่า ‘ข้าก็มาสายแล้ว พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้’
ฮูหยินใหญ่เวิ่นจวนห้ามองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวในทันใด
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ว่าอะไร เพียงกล่าวเสียงเรียบๆ ว่า “ก็ไม่นับว่าสายมากเท่าไหร่” แล้วก็สั่งสื่อมามาไปแจ้งรถม้าที่เฝ้าอยู่ที่ประตูสองให้เตรียมตัวออกเดินทาง
ใบหน้าของฮูหยินใหญ่เวิ่นเต็มไปด้วยความผิดหวัง
โจวเสาจิ่นมองดูแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่ง
ที่แท้นางคาดหวังให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่าถังทะเลาะกันอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นในชาติก่อนนั้นสนใจเพียงแต่เรื่องของตัวเอง ไม่เคยใส่ใจเรื่องที่อยู่นอกจวนสี่เลย คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าของแต่ละจวนในตระกูลเฉิงนั้นจะซับซ้อนและวุ่นวายเพียงนี้
สิ่งที่ทำให้นางต้องถอนหายใจออกมามากยิ่งขึ้นก็คือการได้เผชิญหน้ากับหยวนซื่อ ซึ่งเป็นการพบกันที่เรียบง่ายและสงบราบรื่นยิ่งนัก ทำให้นางเหมือนกับคนไร้เรี่ยวแรงที่ทุบกำปั้นลงบนปุยฝ้าย ทว่าก็อดไม่ได้รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
เรื่องราวในอดีต ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ!
คนอื่นเขาไม่ได้มารับรู้ด้วย ฉะนั้นนางก็ควรจะลืมมันไปเสียถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นติดตามพี่สาวขึ้นรถม้า และเดินทางไปที่วัดเป็นหมู่คณะใหญ่ไปตลอดทั้งทาง
วัดกันเฉวียนตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเมืองจินหลิง เป็นวัดขององค์ฮ่องเต้ในราชวงศ์ก่อน ต่อมาถูกเผาทำลายจากสงคราม และได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งในรัชกาลของไท่จงฮ่องเต้ กระเบื้องในห้องโถงหลักได้รับพระราชทานมาจากฮ่องเต้ไท่จงในขณะนั้น เป็นกระเบื้องกระจกสีเหลืองสว่างที่ห้องโถงเฉียนชิงใช้ไม่หมด เมื่อต้องแสงแดด จะสุกสว่างไปด้วยสีทองอร่ามและเขียวมรกต เป็นทัศนียภาพที่งดงามยิ่ง ไม่ช้าวัดกันเฉียนก็กลายมาเป็นวัดเซนที่ใหญ่เป็นลำดับหนึ่งของเมืองจินหลิง
เนื่องจากเมื่อหลายวันก่อนตระกูลเฉิงได้สั่งการให้แม่บ้านไปที่วัดเพื่อจัดเตรียมเรื่องเกี่ยวกับขึ้นธูปบูชาเอาไว้แล้ว รถม้าของตระกูลเฉิงจึงขับผ่านประตูวัดตรงไปจอดอยู่ที่ประตูใหญ่
พระเณรน้อยในวัดได้เปิดประตูด้านข้างเอาไว้แล้ว ไต้ซือซื่อฮุ่ย ท่านเจ้าอาวาสวัดนำพระอาวุโสหลายท่านจากหอจือเค่อมาต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู พาพวกนางไปขึ้นธูปไหว้พระที่ห้องโถงหลัก ดื่มชาอยู่ที่ห้องด้านข้าง จากนั้น ไต้ซือฟู่ซื่อจากหอจือเค่อนำพวกนางไปยังห้องโถงใหญ่ที่ไต้ซือซื่อฮุ่ยจะเทศนาพระธรรมด้วยตนเอง
ที่ห้องโถงใหญ่มีกลุ่มสตรีรออยู่ก่อนแล้ว พวกนาง ไม่ว่าจะสูงวัยหรืออ่อนวัยก็ล้วนแล้วแต่แต่งกายอย่างงดงาม มีท่าทีที่สงบนิ่งและไร้กังวล
เมื่อเห็นสตรีจากตระกูลเฉิงเดินเข้ามา มีสตรีหลายท่านทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างมองพวกนางแล้วพูดกระซิบกระซาบกัน แต่สตรีมากกว่าครึ่งกลับลุกขึ้นมากล่าวคำทักทายกับสตรีตระกูลเฉิง ในบรรดาคนเหล่านี้มีหญิงชราท่านหนึ่งที่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายของสตรีที่มีตำแหน่งสูงกว่ายศผิ่นขั้นหนึ่ง
โจวเสาจิ่นเดาว่าฮูหยินผู้เฒ่าท่านนั้นเป็นคนจากจวนขุนนางเหลียง
ดูจากท่าทางการสนทนาของฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว หยวนซื่อ และฮูหยินผู้เฒ่าถังแล้ว พวกนางน่าจะสนิทสนมกันพอสมควร
ไม่แปลกใจแล้วที่เมื่อชาติก่อนขุนนางเหลียงถึงมาเตือนตระกูลเฉิงได้!
โจวเสาจิ่นยังเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอีกหลายคน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเคยพบกันมาก่อนในชาติที่แล้วหรือเคยพบกันก่อนที่นางจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ขณะที่นางติดตามอยู่ด้านหลังของพี่สาวนั้น กลับมีสายตาหนึ่งที่ราวกับคมมีดกรีดเข้ามา
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น ก็เห็นใบหน้าที่โกรธจนซีดขาวของเฉิงเจีย
ไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองไปทำให้นางไม่พอใจตอนไหนกันแน่


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน