โจวเสาจิ่นกระโดดลุกพรวดขึ้นมา
เช่นนั้นมิเท่ากับว่านางจะไม่ได้เจอท่านน้าฉือหรอกหรือ!
“นี่ก็ผ่านเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว เขาไปเยี่ยมเยียนใครกัน!” โจวเสาจิ่นบ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินใครพูดถึงเลย”
เจินจูรู้ว่าความสัมพันธ์ของโจวเสาจิ่นกับจี๋อิ๋งดียิ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากนายท่านสี่บอกว่าต้องการออกจากบ้าน จี๋อิ๋งจะห้ามปรามได้หรือเจ้าคะ ถ้านางรู้ว่าท่านมาวันนี้ ต้องเสียดายมากแน่ๆ ท่านต้องการฝากข้อความอะไรให้จี๋อิ๋งหรือไม่ ข้าจำได้ว่าฤกษ์แต่งงานของคุณหนูใหญ่ตรงกับวันที่เก้าเดือนสาม ยังเหลืออีกสองเดือน ถึงเวลานั้นให้จี๋อิ๋งไปเยี่ยมท่านก็ได้เจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นผิดหวังยิ่งนัก
ยังดีที่นางรอไม่นานฮูหยินซ่งก็กล่าวอำลา
นางไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีใจเหลือแสน จับมือของนางเอาไว้พลางมองสำรวจนางไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “เอ สูงขึ้นอีกเล็กน้อยแล้ว แล้วก็งดงามมากขึ้นด้วย แต่ว่าผอมเกินไปหน่อย ต้องกินให้มากขึ้นอีกสักหน่อย เห็นได้ชัดว่าช่วงปีใหม่ไม่ค่อยได้กินดีๆ!”
โจวเสาจิ่นยิ้มอย่างขัดเขิน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางนั่งลงข้างกาย สั่งให้เจินจูนำน้ำชามาขึ้นโต๊ะ
โจวเสาจิ่นยิ้มร่า กล่าวขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ไปนั่งที่ห้องน้ำชาก็เลยดื่มชาและกินของว่างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ของข้าที่นี่อร่อยกว่า” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ สั่งให้เจินจูไปหยิบกล่องสีแดงทองที่ดูเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีบนโต๊ะน้ำชาในห้องชั้นในออกมา จากนั้นกระซิบกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “พี่สาวเจิงของเจ้าส่งมาให้ เป็นขนมของชาววังอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับของจกตาหลอกผู้คนในเมืองจิงเฉิงเหล่านั้น เจ้ากินแล้วก็จะรู้เอง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชอบที่นางเป็นเช่นนี้ หากกินก็บอกกิน ไม่กินก็บอกไม่กิน ไม่ต้องแสร้งแกล้งเอาใจเพราะเกรงใจ
พอเปิดกล่องออกโจวเสาจิ่นก็ได้กลิ่นหอมหวาน ชื่อที่เขียนอยู่บนฉลากสีเหลืองสดใสนั้นทำให้แค่มองโจวเสาจิ่นก็รู้ได้ว่านี่เป็นของที่มีในพระราชวังเท่านั้น
นานหลายปีแล้วเหมือนกันที่นางไม่ได้กินขนมกินเล่นของพระราชวัง นอกจากนี้นี่ยังเป็นเค้กกุหลาบของหูเอ้อขนมที่ขึ้นชื่อที่สุดของพระราชวังอีกด้วย
ถึงจะบอกว่าชื่อเค้กกุหลาบ แต่จริงๆ แล้วเป็นเค้กที่ทำมาจากถั่วแดง
แต่เค้กถั่วแดงของหูเอ้อนี้มีสีสันสดใส รสชาติละมุนลิ้น ทั้งหอมและหวาน โจวเสาจิ่นกินไปเพียงหนึ่งคำ ก็ยิ้มดีใจจนตาหยี
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะฮ่า เอ่ยขึ้นว่า “อร่อยใช่หรือไม่!”
ในปากของโจวเสาจิ่นยังเต็มไปด้วยขนม จึงได้แต่พยักหน้ารับ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มตาหยีพลางกล่าว “ค่อยๆ กิน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของเจ้า ประเดี๋ยวข้าจะให้พวกนางเอากลับไปให้เจ้า”
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมา รีบกลืนขนมที่อยู่ในปากลงไป กล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้ากินสักสองสามชิ้นก็พอแล้ว ท่านเก็บเอาไว้รับประทานเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าแก่แล้ว ฟันไม่ค่อยดี กินของหวานมากไปจะปวดฟันเอาได้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างรักใคร่ “น้าฉือของเจ้าก็บอกว่าอร่อย ข้าให้เขาไปหนึ่งกล่อง กล่องนี้เก็บเอาไว้ให้เจ้า”
หลังจากที่ทราบว่าท่านยายมีเจตนาจะให้นางหมั้นหมายกับเฉิงอี้ โจวเสาจิ่นก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา
ตอนที่นางกับพี่สาวเข้าจวนมาไหว้ปีใหม่ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ในวันที่สองนั้น หลังจากไหว้เสร็จก็รีบกลับบ้านที่ถนนผิงเฉียวเลย
ไม่แน่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอาจคิดว่าตนกับพี่สาวจะมาไหว้ปีใหม่นางด้วย ก็เลยเก็บขนมเอาไว้ให้นาง
โจวเสาจิ่นรู้สึกผิดยิ่งนัก อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็ล้วนเป็นเพียงข้ออ้างหนึ่งเท่านั้น ก็เหมือนกับครั้งนี้ หากมิใช่เพราะนางมีเรื่องมาหาท่านน้าฉือ เกรงว่าก็คงจะไม่ได้มาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน
นางได้แต่กล่าวว่า “เค้กกุหลาบนี้อร่อยมากจริงๆ เจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางลูบศีรษะของนาง กล่าวขึ้นว่า “มารดาเลี้ยงของเจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใดหรือ พรุ่งนี้ข้าเชิญนางมากินข้าวด้วยสักมื้อก็แล้วกัน! ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับนาง”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็แทบจะสำลัก
ฮูหยินชั้นสูงในเมืองจินหลิงแห่งนี้มีสักกี่คนกันที่มีคุณสมบัติพอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลี้ยงต้อนรับ
นางรีบกล่าว “ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ ท่านยุ่งมากขนาดนี้…”
“เด็กโง่” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “ข้าทำเพราะให้หน้าเจ้าหรอก!” เห็นว่าโจวเสาจิ่นอยากจะกล่าวอะไรอีก นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ให้เป็นไปตามนี้ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวเจ้าไปบอกมารดาเลี้ยงของเจ้าด้วย เทียบเชิญของข้าจะตามไปในไม่ช้า ให้พวกป้าๆ ของเจ้ามาร่วมด้วยก็แล้วกัน ต่อไปเมื่อเจ้าได้พบนาง เวลาพูดอะไรก็จะได้ยืดหลังตรงได้บ้าง” กล่าวอีกว่า “เจ้าคงถือโอกาสตอนที่มารดาเลี้ยงกับยายของเจ้าคุยกันอยู่แล้วมาที่นี่กระมัง เช่นนั้นข้าจะไม่รั้งเจ้าให้อยู่รับมื้อเที่ยงด้วยแล้ว กลับไปก็แบ่งขนมให้มารดาเลี้ยงของเจ้าด้วยก็แล้วกัน”
น้ำตาของโจวเสาจิ่นเกือบจะร่วงหล่นลงมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงแม้จะผ่านปีใหม่มาแล้ว แต่ที่นี่ข้าก็ยังไม่อนุญาตให้ร้องไห้ รีบเช็ดน้ำตาเสีย”
โจวเสาจิ่นยิ้มขณะที่น้ำตายังคลอเบ้า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงถามถึงการเตรียมงานแต่งงานของโจวชูจิ่นขึ้นมา
โจวเสาจิ่นตอบไปเป็นข้อๆ จากนั้นก็คล้ายจะอยากพูดแต่ก็หยุดไปอีก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามนาง “เป็นอะไรหรือ”
โจวเสาจิ่นจึงกระซิบเล่าเรื่องที่นางอุ้มอิฐของเจดีย์เหลยเฟิงจากเมืองหังโจวกลับมาให้พี่สาวให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “ท่านว่า ข้าจะเอาไปให้พี่สาวอย่างไรดีเจ้าคะ อิฐหนึ่งก้อนเป็นดังตัวแทนของนาหนึ่งผืน หากข้าใส่ไว้หีบสินสอด คนของตระกูลเลี่ยวจะเข้าใจผิดหรือไม่ แต่หากไม่เอาไปด้วย นั่นจะไม่เท่ากับว่าจะกลายเป็นของๆ ข้าเองไปแล้วหรือเจ้าคะ…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ทราบมาก่อนว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย
นางหัวเราะไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “ผู้ใดไปอุ้มอิฐก้อนนั้นมาให้เจ้ากัน! ข้าจำได้ว่าตอนนั้นพวกเราไม่ได้ไปเจดีย์เหลยเฟิงนี่นา! คงไม่ใช่ว่าเป็นหลงจู๊ของสาขาย่อยเหล่านั้นหรอกกระมัง”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นใบหน้าแดงเรื่อ กล่าวอย่างกระดากอายว่า “เป็นข้าไปขอร้องท่านน้าฉือให้ช่วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดย่นหัวคิ้วขึ้นไม่ได้
เจ้าสี่หรือ!
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขากลายเป็นคนที่เพียงมีคนมาขอร้องก็ตอบตกลงช่วยเหลือแล้ว!
นี่ออกจะน่าสนใจไม่น้อย!



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน