นับตั้งแต่ซางมามาเป็นผู้ติดตามของเฉิงฉือมา ก็เรียนรู้ที่จะไม่สงสัยการตัดสินใจใดๆ ของเฉิงฉือ
นางขานรับเสียงนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ” แล้วไปที่ถนนผิงเฉียว
โจวเสาจิ่นกำลังปรึกษาหารือกับพี่สาวอยู่ “…นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกู้เสียชีวิต พวกเราเองก็ควรจะไปเคารพศพด้วยหรือไม่เจ้าคะ ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ปีนั้นพวกเราก็เคยได้ทำความรู้จักนายหญิงผู้เฒ่ามาก่อน นอกจากนี้ยังสนิทสนมกับคุณหนูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้อีกด้วย”
โจวชูจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม
ยิ่งอยู่น้องสาวก็ยิ่งมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว
นี่นางหาใช่มาปรึกษาตน เห็นๆ อยู่ว่าต้องการมาพูดเกลี้ยกล่อมตนมากกว่า
น้องสาวเป็นเช่นนี้ นางก็แต่งงานออกไปอย่างวางใจได้แล้ว
โจวชูจิ่นพยักหน้า “เรื่องนี้เจ้าไปหารือกับฮูหยินได้เลย”
โจวเสาจิ่นขานรับอย่างยินดี
ชุนหว่านเข้ามารายงานว่าซางมามามาหา
โจวเสาจิ่นรีบให้ชุนหว่านเชิญนางเข้ามา หันไปกล่าวอธิบายกับพี่สาวว่า “ช่วงเช้าให้นางช่วยนำความไปส่งมาเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นไม่กล้าละเลย สั่งให้ตงหว่านไปเชิญซางมามาไปนั่งดื่มน้ำชาที่โถงรับแขก
ซางมามาไหนเลยจะกล้า ยืนรออยู่ในนั้นอย่างนอบน้อม กระทั่งโจวเสาจิ่นสองพี่น้องออกมา นางรีบก้าวออกไปทำความเคารพ กล่าวขึ้นว่า “บ่าวได้รับคำสั่งของนายท่านสี่ให้นำความมาแจ้ง บอกว่าทางฝั่งญาติของตระกู้ต่างทยอยได้รับข่าวการสูญเสียแล้ว มีคนเร่งมาร่วมงานอยู่ไม่ขาด นายท่านสี่ต้องจัดเตรียมอาหารเย็นของทางโน้นให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วถึงจะมาหาได้ ให้คุณหนูรองอดทนรอสักหน่อยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะแลกเปลี่ยนสายตากับพี่สาวด้วยสีหน้าไม่เข้าใจครั้งหนึ่ง จากนั้นถามซางมามาอย่างแปลกใจว่า “มิใช่บอกว่าเรื่องของข้าไม่ได้เร่งด่วน ให้ท่านน้าฉือจัดการธุระงานศพของตระกูลกู้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีมิใช่หรือ”
ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็ตอบนายท่านสี่ไปเช่นนี้แล้ว แต่นายท่านสี่กลับยืนกรานที่จะมาเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นได้แต่พยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “ลำบากมามาแล้ว ถึงเวลาข้าจะรอท่านน้าฉือก็แล้วกัน”
ซางมามายิ้มพลางเอ่ยว่า “มิกล้าเจ้าค่ะ” แล้วลุกขึ้นกล่าวขอตัว
ฉือเซียงออกไปส่งซางมามา
โจวชูจิ่นถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าให้ซางมามาไปบอกท่านน้าฉือว่าอะไรบ้าง เหตุใดท่านน้าฉือถึงได้ดูเหมือนกับว่าล่วงรู้อะไรบางอย่างมาอย่างนั้น”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ได้กล่าวอะไรเลยเจ้าค่ะ!” จากนั้นเล่าเรื่องที่ผ่านมาทุกอย่างให้พี่สาวฟังอย่างละเอียด
โจวชูจิ่นเองก็ไม่เข้าใจ ได้แต่ไม่ไปคิดจะดีกว่า กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่ออีกประเดี๋ยวท่านน้าฉือจะมา เช่นนั้นก็ไปบอกให้ในครัวทำของว่างยามดึกเอาไว้ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะรับประทานได้หรือไม่ ก็ถือเป็นน้ำใจของพวกเราครั้งหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ไปสั่งการในครัวด้วยตัวเอง
ทางด้านของหลี่ซื่อเองก็ได้รับข่าวแล้วเช่นกัน
นางกล่าวกับหลี่มามาว่า “คิดไม่ถึงว่าคำพูดของคุณหนูรองจะมีน้ำหนักต่อจวนหลักถึงเพียงนี้ ดึกขนาดนี้ แล้วก็เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ นายท่านสี่ของจวนหลักกลับตั้งใจหาเวลาออกมาหาได้…” ขณะที่นางกล่าว สีหน้าอดเผยความสงสัยออกมาไม่ได้ “ข้าได้ยินว่านายท่านสี่ของจวนหลักมียศจิ้นซื่อขั้นสองติดตัว กระทำการอะไรก็มีกลยุทธ์และแผนการอย่างดี…หรือว่านายท่านสี่ผู้นี้จะมิใช่นายท่านสี่ผู้นั้นอย่างนั้นหรือ”
หลี่มามาเองก็รู้สึกว่าคาดไม่ถึง กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ ถึงเวลานั้นข้าไปดูสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ก็ดีเหมือนกัน” หลี่ซื่อรู้สึกว่ายิ่งตนได้ใกล้ชิดกับโจวเสาจิ่น ก็ยิ่งรู้สึกว่าถึงแม้นางจะดูอ่อนโยนและว่าง่าย แต่คำพูดและการกระทำกลับยิ่งทำให้คนรู้สึกว่ามีอะไรที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น “เจ้าระวังอย่าให้ถูกจับได้”
“ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ!” หลี่มามากล่าวยิ้มๆ พอฟ้ามืดก็ไปที่ห้องครัว กระทั่งเลยยามซวีไปหนึ่งเค่อ ชุนหว่านเข้ามาให้ในครัวยกโจ๊กขาวหนึ่งถ้วยและเครื่องเคียงอีกสามสี่อย่างไปที่ห้องโถงรับแขกของเรือนหลัก
หลี่มามาตริตรองว่านายท่านสี่ของจวนหลักน่าจะมาถึงแล้ว จึงแสร้งยกกาน้ำที่บรรจุน้ำเอาไว้ไปทางโถงรับแขก
โคมไฟที่โถงรับแขกสว่างไสว ฉากกั้นเปิดออกกว้าง พวกบ่าวไพร่ล้วนให้การปรนนิบัติอยู่ใต้โถงทางเดิน โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ที่โต๊ะกลมกลางโถงรับแขกเป็นเพื่อนชายหนุ่มผู้หนึ่ง ฉือเซียงนำชุนหว่านและตงหว่านวางชามและตะเกียบ
บุรุษผู้นั้นอายุประมาณยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าปี สวมชุดคลุมตัวยาวผ้าเนื้อหยาบสีขาวพระจันทร์ตัวหนึ่ง ดูสุภาพสง่างาม องคาพยพทั้งห้าหล่อเหลาเป็นมิตร ทำให้คนบังเกิดความรู้สึกดี มีความสูงส่งของผู้มีการศึกษาดีอย่างดูเป็นธรรมชาติ
ขณะที่หลี่มามากำลังครุ่นคิดว่าควรจะแสร้งทำเป็นผ่านทางมาโดยไม่ตั้งใจเพื่อไปดูสักหน่อยดีหรือไม่อยู่นั้น บุรุษผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน สบเข้ากับสายตาของนางพอดิบพอดี
สายตาอ่อนโยนก่อนหน้านี้ของบุรุษผู้นั้นพลันเฉียบคมประหนึ่งดาบที่ถูกถอดออกมาจากคมฝัก หันมาพุ่งใส่นางด้วยลำแสงเยียบเย็น
นางตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว รีบหลุบสายตาลง แล้วเร่งเดินออกจากโถงรับแขกเพื่อหลีกหนีจากอันตรายไปตามสัญชาติญาณ
เฉิงฉือเก็บสายตากลับมา
โจวเสาจิ่นไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหูเขาว่า “…เนื่องจากดึกมากแล้ว กลัวว่าท่านจะอาหารไม่ย่อย ก็เลยให้ในครัวทำอาหารรสอ่อนๆ มาไม่กี่อย่างเท่านั้น ท่านรองท้องไปก่อน พรุ่งนี้เช้าก็อย่าลืมรับประทานให้มากสักหน่อยนะเจ้าคะ ข้าเคยเห็นผู้อื่นจัดงานศพ ยุ่งวุ่นวายทั้งวัน จนอยากจะถลกหนังศีรษะทิ้ง หากพวกพ่อบ้านมาถึงกันหมดแล้ว ท่านต้องอย่าลืมพักผ่อนเสียบ้าง เพราะอย่างไรก็ไม่มีทางทำทุกอย่างให้แล้วเสร็จได้ ท่านทั้งเก่งกาจและมีความสามารถ หากท่านไปแย่งงานของผู้อื่นหมด ท่านต้องเหนื่อยเองไม่พอ ไม่แน่ว่าผู้อื่นก็ไม่ได้ซาบซึ้งอะไรท่านด้วย!”
มุมปากของเฉิงฉือยกขึ้น
“เหตุใดเจ้าถึงได้เหมือนภรรยาแก่ๆ ผู้หนึ่งก็ไม่ปาน!”
ตัดบทสนทนาของนางแล้ว กล่าวขึ้นว่า “ข้ามีไหวซานและซางมามารับใช้อยู่ข้างกาย ไม่ต้องให้เจ้ามาเป็นห่วง”
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นไม่เคืองโกรธ รับโจ๊กขาวจากมือของสาวใช้มาวางลงตรงหน้าเฉิงฉือ
เฉิงฉือกินไปคำหนึ่ง
หอมหวานและนุ่ม เป็นโจ๊กขาวตามต้นตำรับของเฉาโจว
เขาพึงพอใจยิ่ง ชิมผัดผักเงียบๆ
เป็นรสชาติอาหารของก่วงตงแท้ๆ
ทำให้เฉิงฉือที่ยุ่งมาทั้งวันรับประทานไปอย่างอิ่มเอมยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นลอบยิ้ม
กระทั่งเฉิงฉือรับประทานเสร็จแล้ว ก็เรียกให้สาวใช้ตักน้ำเข้ามาให้เขาล้างมือ
เฉิงฉือลุกขึ้น กล่าวว่า “เจ้ากับข้าไปคุยกันตรงลานบ้านก็แล้วกัน!”
คุยกันตรงลานบ้าน หากผู้อื่นได้ยินเข้าจะทำอย่างไร
โจวเสาจิ่นลังเลเล็กน้อย



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน