โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วใจเต้นตึกตักไม่หยุด ฉับพลันนั้นก็จมเข้าไปอยู่ในสภาวะที่เลือกไม่ได้
หากไม่บอกท่านน้าฉือ แล้วต่อไปท่านน้าฉือไม่สนใจนางขึ้นมาจริงๆ นางจะทำอย่างไร ที่สำคัญก็คือนางยังไม่มีโอกาสได้เล่าเรื่องที่ว่าอนาคตตระกูลเฉิงจะถูกกวาดล้างให้ท่านน้าฉือฟังเลย! แต่ถ้าบอกท่านน้าฉือ เรื่องส่วนเช่นนี้ นางจะเล่าให้ท่านน้าฉือฟังอย่างไรดี นอกจากนี้เรื่องนี้ก็เป็นเพียงเรื่องที่ปี้อวี้ได้ยินท่านยายกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดคุยกันมาเท่านั้น ท้ายที่สุดเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นก็ยังไม่ทราบได้ หากเรื่องราวเปลี่ยนไปจากนี้ ท่านน้าฉือจะคิดว่านางฟังเสียงลมเป็นเสียงฝน เก็บความลับไม่อยู่ ไม่รู้จักระมัดระวังหรือไม่
นางลอบสังเกตสีหน้าของเฉิงฉือ
เฉิงฉือยิ้มเย็น
มือของโจวเสาจิ่นบิดเข้าหากันแน่น
นานแล้วที่นางไม่ได้ทำอาการเช่นนี้
เฉิงฉือเห็นแล้วใจอ่อน กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “กำลังกังวลเรื่องหมั้นหมายกับเฉิงอี้อยู่ใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
ที่แท้ท่านน้าฉือก็รู้เรื่องนี้แล้ว
นางหน้าแดงก่ำ เม้มปากไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
เฉิงฉือกล่าว “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง”
จัดการหรือ!
จะจัดการอย่างไร
โจวเสาจิ่นจับแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้แน่น กล่าวขึ้นว่า “ท่าน…ท่านอย่าพูดเลยนะเจ้าคะ ท่านยายจะเสียใจได้…”
เฉิงฉือได้ยินแล้วในใจก็บังเกิดไฟโทสะพุ่งพรวดขึ้นมา กล่าวเสียงเคร่งว่า “หรือเจ้าคิดจะแต่งให้อี้เกอเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นโดนเขาว่าเช่นนี้ ไม่เพียงร้อนรนเท่านั้น ในใจก็หวาดกลัวขึ้นมาด้วย ประหนึ่งว่านางกล่าวอะไรผิดไปอย่างไรอย่างนั้น โบกมือเป็นพัลวันพลางกล่าว “ไม่ใช่เจ้าค่ะๆ ข้าไม่อยากแต่งให้พี่ชายอี้ แต่ข้าก็ไม่อยากทำให้ท่านยายเสียใจเช่นกัน ที่ข้ากลัวมากกว่านั้นคือท่านพ่อกับท่านยายจะมีเรื่องขุ่นเคืองกันเพราะข้าเป็นสาเหตุ…” ขณะที่นางกล่าว ขอบตาก็ร้อนชื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
พวกเขาต่างก็เป็นญาติสนิทของนาง นางจะปล่อยให้ตัวเองเป็นเหตุให้พวกเขามีความบาดหมางกันได้อย่างไร
นางก้มหน้าลง บนแผงขนตายาวนั้นปกคลุมเอาไว้ด้วยหยาดน้ำตาใสระยิบระยับ ประหนึ่งใบไม้อ่อนที่เพิ่งผ่านการชำระล้างของฝนยามวสันต์มา พอแสงอาทิตย์สาดส่อง จึงเหลือเพียงหยาดฝนที่ปรารถนาจะร่วงหล่นลงจากยอดใบไม้เหล่านั้น
เฉิงฉือทอดถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าย่อมไม่ไปพูดตรงๆ กับยายของเจ้า และจะไม่ทำให้พวกยายของเจ้าสงสัยว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย…”
“จริงหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมาอย่างยินดี หยาดน้ำตาหยดนั้นจึงหยดลงบนแก้ม สะท้อนอยู่บนแก้มอมชมพูของนาง ดูราวกับน้ำค้างยามเช้าหยดหนึ่ง
“จริง!” เฉิงฉือถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง กล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากทำให้พวกเขาลำบากใจ”
“อื้อๆๆ!” โจวเสาจิ่นผงกศีรษะ ดวงตายิ้มหยักโค้งขึ้นราวพระจันทร์เสี้ยว
ช่างเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่งจริงๆ!
เฉิงฉืออดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
กระทั่งตอนที่เขาออกจากประตูใหญ่ของตระกูลโจว ขึ้นเกี้ยวเรียบร้อย หลับตาลงและเริ่มนึกถึงเรื่องของเฉิงลู่นั่นเอง ถึงได้พบว่าโจวเสาจิ่นไม่ได้ถามเขาเลยว่าเขาใช้วิธีอะไรไปสืบทราบมาว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนมีความคิดจะเก็บนางไว้ที่จวนสี่
เฉิงฉือส่ายศีรษะ
เด็กผู้นี้ เขาพูดอะไรก็เชื่อไปเสียหมด แม้แต่สอบถามก็ยังไม่คิดจะถามเลยสักคำ
แต่ความรู้สึกที่ว่ามีคนผู้หนึ่งเชื่อมั่นอย่างสุดใจเช่นนี้…ช่างเป็นความรู้สึกที่ดียิ่งนัก!
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดเขาถึงให้ความช่วยเหลือนางครั้งแล้วครั้งเล่ากระมัง
อย่างไรก็ตาม เรื่องของเฉิงลู่ไม่ได้ยุ่งยาก แต่เรื่องของเฉิงอี้เขากลับต้องค่อยๆ คิดให้ดีๆ เนื่องจากไม่อาจปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจับผิดได้ แล้วก็ไม่อาจทำให้เด็กผู้นี้ลำบากใจด้วยเช่นกัน…
เขาเคาะเกี้ยวเบาๆ เอ่ยกับไหวซานที่เดินตามเกี้ยวมาว่า “นายท่านเก้าของตระกู้จะกลับมาถึงเมื่อใด!”
ไหวซานคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “อย่างเร็วที่สุดก็น่าจะมาถึงประมาณต้นเดือนสองขอรับ”
เฉิงฉือกล่าวอีกว่า “หากเจ้าเมืองอู๋มาเคารพศพ เจ้าอย่าลืมมาบอกข้าด้วย ข้ามีเรื่องจะพูดกับเขา”
ไหวซานขานรับ
ทว่ากลับอดไม่ได้ที่จะรำพึงอยู่ในใจ
ตกลงนายท่านสี่ต้องการหาใต้เท้ากู้หรือต้องการหาใต้เท้าอู๋กันแน่
***
หลังจากส่งเฉิงฉือแล้ว โจวเสาจิ่นก็รีบกลับไปที่เรือนหลัก
โจวชูจิ่นกำลังรอนางอย่างใจจดใจจ่ออยู่
พอโจวเสาจิ่นเข้าประตูมาก็ถูกพี่สาวจับมือเอาไว้
“เสาจิ่น!” โจวชูจิ่นถามอย่างร้อนรน “ท่านน้าฉือว่าอย่างไรบ้าง”
“แน่นอนว่าย่อมตอบตกลงอยู่แล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยี กล่าวด้วยท่าทางปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เฉิงฉือรับปากจะช่วยนางจัดการเรื่องหมั้นหมายกับพี่ชายอี้ นางรู้สึกโล่งราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป รู้สึกว่าการเดินเหินก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาก อารมณ์ก็ดีเป็นอย่างยิ่งด้วย
โจวชูจิ่นรู้สึกโล่งไปเปลาะหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าไปพูดเกลี้ยกล่อมท่านน้าฉืออย่างไรหรือ”
“ข้าไม่ได้เกลี้ยกล่อมท่านน้าฉือเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “พอข้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านน้าฉือฟัง ท่านน้าฉือก็ตอบตกลงเลย ไม่ได้ ‘พูดเกลี้ยกล่อม’ อะไรเลยเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นประหลาดใจ
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวอย่างภูมิใจเล็กน้อยว่า “ท่านน้าฉือบอกว่า คนที่มีพรสวรรค์แต่ขาดคุณธรรมก็เป็นได้แค่คนต่ำต้อย คนต่ำต้อยใช้พรสวรรค์มากลบความชั่วร้ายของตัวเอง ใช้ความกล้าหาญมากลบความอำมหิตของตัวเอง เป็นดั่งเสือที่ติดปีก ยังชมพวกเราว่าทำถูกต้องแล้ว บอกว่าคนอย่างเฉิงลู่นี้ต่อให้ในภายภาคหน้าจะมีความก้าวหน้าอย่างไรก็ไม่อาจสร้างคุณประโยชน์อะไรให้ตระกูลเฉิงได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นตระกูลเฉิงที่ถูกลากเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาแทน ไม่สู้ตัดความทะเยอทะยานของเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้ ให้เขาผ่านวันเวลาของชีวิตอยู่แต่ในบ้านจะดีกว่า”
“ท่านน้าฉือช่างมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลยิ่งนัก!” โจวเสาจิ่นฟังแล้วก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง อดกล่าวชื่นชมเฉิงฉือออกมาไม่ได้
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้มอย่างภูมิใจ กล่าวขึ้นว่า “ข้าบอกแล้ว หากท่านน้าฉือทราบเรื่องที่เฉิงลู่กระทำ จะต้องไม่ให้ความช่วยเหลือเขาเป็นแน่เจ้าค่ะ!”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน