ภรรยาของหม่าฟู่ซานได้ยินแล้วรู้สึกหัวใจหนาวยะเยือก
แต่ก่อนนางมีเรื่องอะไรก็มักจะไปขอความเห็นจากคุณหนูใหญ่ ไม่เคยปรึกษาคุณหนูรองเลยแม้แต่น้อย เวลานี้คุณใหญ่กำลังจะแต่งงาน อีกทั้งฮูหยินต้องให้การต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหลาย นางจึงมาถามคุณหนูรอง ไม่คาดคิดว่าคุณหนูรองจะจัดการได้อย่างเป็นการเป็นงานเช่นนี้ เมื่อก่อนตนดูเบาคุณหนูรองไปเสียแล้ว
ภรรยาของหม่าฟู่ซ่านรีบเก็บความคิดดูแคลนรางๆ นั้นไป กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะทำตามที่ท่านบอกเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
มีมามาผู้เป็นแม่บ้านเข้ามาถาม “คุณหนูรองเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ฮูหยินบอกว่าตระกูลเฉิงอาจจะนำมามาประมาณเจ็ดถึงแปดคนและสาวใช้สิบกว่าคนมาเจ้าค่ะ หลี่มามาจึงจัดเตรียมให้บ่าวรับใช้เหล่านั้นอยู่ที่ศาลาหลิวฟาง แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้ตระกูลเฉิงจะนำหมัวมัวมาสิบกว่าคนและสาวใช้อีกยี่สิบกว่าคน สถานที่รับรองจึงไม่เพียงพอเจ้าค่ะ…”
ก่อนหน้านี้โจวเสาจิ่นเคยส่งคนไปสอบถามมาแล้ว ทางซอยจิ่วหรูแจ้งว่านอกจากฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านอื่นไม่น่าจะมา แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่าถังและฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะมาด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้บ่าวรับใช้ที่ติดตามมาด้วยจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน สถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับรับมื้อเที่ยงของพวกนางก็เลยไม่เพียงพอ
นางกล่าว “เช่นนั้นก็แยกพวกมามากับสาวใช้ออกจากกัน จัดให้พวกมามาอยู่ที่ศาลาหลิวฟางเหมือนเดิม ส่วนพวกสาวใช้ก็จัดให้อยู่ที่ศาลาริมน้ำข้างๆ ศาลาหลิวฟาง โชคดีที่อากาศอบอุ่นดอกไม้ต่างผลิบาน ดอกเหมยข้างศาลาริมน้ำกำลังเบ่งบานพอดี รับประทานอาหารที่นั่นก็เพลิดเพลินไปอีกแบบ”
มามาผู้นั้นราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก เผยรอยยิ้มยินดีออกมา พลางกล่าว “ยังคงเป็นคุณหนูรองที่ขบคิดได้รอบคอบ ข้าจะไปสั่งการให้จัดโต๊ะที่ศาลาริมน้ำเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งเช่นกัน
โชคดีที่พี่สาวสั่งการให้มามาในบ้านไปทำความสะอาดโต๊ะเก้าอี้สำหรับงานเลี้ยงเอาไว้ก่อน หาไม่แล้ววันนี้ต่อให้เปิดศาลาริมน้ำไปก็ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ให้ใช้ เกรงว่าจะทำให้บรรดาสาวใช้จากตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่งเฉกเช่นซอยจิ่วหรูหัวเราะเยาะว่าตระกูลโจวตกอับเสียแล้ว
ทว่ายังไม่ทันรอให้นางหมุนกายไป ก็มีสาวใช้เด็กอีกคนวิ่งมาหา เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ หม่าต้าเหนียงเชิญให้ท่านไปพูดคุยที่หน้าห้องโถงเจ้าค่ะ”
เป็นไปได้ว่าท่านลุงตัวดีผู้นั้นของนางจะก่อเรื่องวุ่นวายเสียแล้ว
โจวเสาจิ่นรู้สึกห่อเหี่ยวทั้งกายและใจ ทว่าทำได้เพียงไปดูเท่านั้น
นางกระซิบบอกชุนหว่านสองสามประโยค แล้วตามสาวใช้เด็กคนนั้นไปที่หน้าห้องโถง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่นั่งอยู่ในห้องรับรองมองดูโจวเสาจิ่นโดยไม่เอ่ยคำใดมาตลอด
นานครู่ใหญ่กว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
นางยิ้มพลางถามขึ้นว่า “ท่านมองดูอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าช่างมีวาสนาดีจริงๆ! เสาจิ่นอุปนิสัยอ่อนโยนและมีความสามารถ เจ้ายังมีวันเวลาดีๆ รออยู่ข้างหน้า ไม่เหมือนข้า เลี้ยงดูฟูมฟักหลานสาวสามคนจนเติบใหญ่ แต่ปรากฏว่ายามชรากลับไม่มีใครอยู่ข้างกายเลยสักคน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ก็ตรงกับคำกล่าวที่ว่า ‘สิ่งของของผู้อื่นล้วนเป็นของดี’ ท่านมองว่าข้ามีความสุขในวัยชราได้เล่นกับหลานๆ เป็นเรื่องดี แต่ข้ากลับอิจฉาจวนหลักของพวกท่านที่มีบุตรหลานเป็นขุนนางอยู่ข้างนอกมากมาย ได้สนับสนุนวงศ์ตระกูล เห็นได้ชัดว่าไม่มีเรื่องใดๆ บนโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบ”
“จริงแท้ยิ่งนัก!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ เห็นฮูหยินผู้เฒ่าถังกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังคุยโวโอ้อวดกับหลี่ซื่ออยู่ นางจึงกระซิบกล่าวว่า “เสาจิ่นจะไปเป่าติ้งเมื่อใดหรือ อย่างไรเด็กคนนี้ก็เคยปรนนิบัติข้าช่วงหนึ่ง ยามนางจะเดินทางจากไป ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องตกรางวัลให้นางสักหน่อย ให้นางเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกวาดสายตามองรอบห้องทีหนึ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจ ก็กดเสียงลงต่ำกล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากให้นางรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปเหมือนเดิม หลังจากที่ชูจิ่นแต่งงานแล้ว ก็ถึงคราวของเก้าเกอเอ๋อร์แต่งสะใภ้ ถึงตอนนั้นเหอซื่อก็น่าจะมีเวลาว่างมากขึ้นแล้ว จะได้ชี้แนะสั่งสอนเสาจิ่นในเรื่องการจัดการงานบ้านงานเรือนว่าต้องทำอย่างไรได้พอดี”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าหงึกๆ โดยไม่เอ่ยคำใด ทว่าดวงหน้ากลับฉายสีหน้าไม่เห็นด้วย เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่กระทำเช่นนี้ แต่ก็ไม่อยากจะแทรกแซงเรื่องของผู้อื่นอะไรมากนักเช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนชื่นชมวิสัยทัศน์ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสมอมา เห็นแล้วใจเต้นตึกตักอย่างอดไม่ได้ ใคร่ครวญถ้อยคำที่ตนพูดออกไปเมื่อครู่อย่างละเอียด ไม่รู้ว่าพูดผิดตรงไหนไปจริงๆ จึงอดถามไม่ได้ว่า “ทำไมหรือ ท่านคิดว่าไม่เหมาะสมหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “ก็ใช้ได้! สุดท้ายแล้วก็ต้องแต่งเข้าบ้านของพวกเจ้า ปรับตัวให้คุ้นเคยแต่เนิ่นๆ ได้ก็ดีเหมือนกัน” ทว่าน้ำเสียงกลับฟังดูฝืดฝืนยิ่งนัก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ พึมพำกล่าวขึ้นว่า “พวกเราเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กันมาหลายปีถึงเพียงนี้ ท่านมีเรื่องอะไรที่บอกกันตรงๆ ไม่ได้เชียวหรือ” จะต้องซักถามให้กระจ่าง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้ตอบว่า “ข้าคิดว่า การที่หลานสะใภ้เหมี่ยนชี้แนะเสาจิ่นเรื่องในเรือนนั้น หากว่านางแต่งงานออกไปที่อื่นก็คงจะเป็นผลดี แต่หากรั้งอยู่ในบ้านของพวกเจ้า เกรงว่าถ้าสะใภ้คนใหม่ทราบเรื่องทีหลัง จะรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ยิ่งกว่านั้น อี้เกอเอ๋อร์กับเสาจิ่นก็โตมาด้วยกัน คนอื่นที่รู้ดีจะกล่าวว่าเป็นเพราะเสาจิ่นเติบโตอยู่ในตระกูลเฉิงมาตั้งแต่เด็ก ผู้ที่ไม่รู้อาจจะคิดไปได้ว่าเสาจิ่นเป็นเจ้าสาวเด็กที่นำมาเลี้ยงเอาไว้…ทำให้ชื่อเสียงของเสาจิ่นเสื่อมเสียได้!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตกใจจนเหงื่อเย็นชุ่มไปทั้งตัว
บางครั้งความขัดแย้งระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้นี้ก็สืบเนื่องมาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องหนึ่งได้เหมือนกัน
เชือกเส้นนี้ต้องพันให้แน่นจนเป็นเกลียวจึงจะแข็งแรงมั่นคง ความจริงนางหวังให้เฉิงเก้าสองพี่น้องกับสะใภ้ทั้งสองคนช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ทำให้จวนสี่ได้มีปากมีเสียงขึ้นมาในซอยจิ่วหรูได้ในวันหนึ่งข้างหน้า หากว่าด้วยเหตุนี้กลับทำให้เหอเฟิงผิงกับโจวเสาจิ่นแตกร้าวกัน มิใช่ว่าความปรารถนาดีของนางจะกลายเป็นร้ายไปแล้วหรอกหรือ
แต่ฝากฝังโจวเสาจิ่นให้หลี่ซื่อเลี้ยงดูและสั่งสอน…หากว่าเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมา ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องมาตามแก้ไขให้หรอกหรือ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ โจวเสาจิ่นเป็นเด็กสาวที่นางเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งว่านอนสอนง่ายและนิสัยอ่อนโยน หนำซ้ำกำลังอยู่ในวัยที่ความคิดฟุ้งซ่าน หากว่าไปเติบใหญ่อยู่ที่เมืองเป่าติ้ง มีหลี่ซื่อคอยยุแยงอยู่ข้างหูนาง ใครจะรู้ว่านางจะทำตัวเหินห่างกับตระกูลเฉิงหรือไม่
เช่นนั้นอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างจริงใจว่า “เช่นนั้นท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน