เฉิงฉือรีบกล่าวยืนยัน “ถ้าหากทางด้านพี่สะใภ้ใหญ่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะปิดบังท่านได้อย่างไร ข้าจะหวังให้ท่านช่วยข้าจัดการเก็บกวาดเสียมากกว่าขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะอย่างพึงพอใจ
เฉิงฉือรีบฉวยโอกาสขอตัวออกไป กล่าวขึ้นว่า “ข้านัดผู้จัดการรองของสิบสามห้างเอาไว้ เตรียมจะร่วมมือค้าขายทางทะเลกับสิบสามห้าง ตอนนี้ที่จิ่งเต๋อเจิ้น มีตระกูลที่ผลิตเครื่องลายครามชนิดใหม่ เตรียมจะเผาเครื่องเคลือบจำนวนมากเพื่อขายให้ชาติตะวันตก”
นี่เป็นธุระสำคัญ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบกล่าว “รีบไปเถอะๆ อย่าปล่อยให้เสียเวลาล่าช้า”
“มีอะไรที่เสียเวลาหรือไม่เสียเวลากัน” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่เห็นด้วย “หากพวกเขาไม่ยินดีรอ ยังมีคนอื่นอีกมากมายที่อยากรอ ท่านยังกลัวว่าธุรกิจของข้าจะล้มเหลวอยู่อีกหรือขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า พลางกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งมาก!”
สองแม่ลูกสนทนากันอีกสองสามประโยค เฉิงฉือจึงลุกขึ้นออกไป
ทว่าทันทีที่เขาเดินออกมาจากเรือนหลักก็ปาดเช็ดหน้าผากที่ไม่มีเหงื่อ
ยามสนทนากับมารดาของเขา เขาต้องเค้นสติปัญญาออกมาใช้มากถึงสองแสนส่วน ทำให้คนรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจยิ่งกว่ายามที่รับมือกับคนเฉกเช่นเซินหมิ่นจือหรือว่านถงเสียอีก…สนทนากับโจวเสาจิ่นยังดีกว่า เขาว่าอย่างไรนางก็เชื่ออย่างนั้น ไม่ต้องใช้ความคิดเล่ห์เหลี่ยมแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ไม่คาดคิดว่าเด็กคนนี้จะกล้าเอาเขาไปฟ้องต่อหน้ามารดาของเขา อย่างไรเขาก็ต้องสั่งสอนนางสักครั้งถึงจะถูก
เฉิงฉือลูบคาง พลางมุ่งหน้าเดินไปยังเรือนหลีอิน
ไหวซานเอ่ยขึ้นว่า “นายท่านสี่ ท่านบอกว่าต้องไปพบผู้จัดการรองของสิบสามห้างมิใช่หรือขอรับ”
“ข้าก็พูดไปอย่างนั้น เจ้าหลงเชื่อไปได้อย่างไร” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้สิบสามห้างกับท่านปู่รองผู้นั้นของข้าสนิทสนมกลมเกลียวกัน ข้าจะไปเพื่ออันใด ไปให้ท่านปู่รองได้หน้าหรือ!”
ไหวซานกล่าว “เช่นนั้น…เช่นนั้นพวกเราจะไปที่ไหนกันหรือขอรับ หากกลับเรือนหลีอิน ประเดี๋ยวถ้าฮูหยินผู้เฒ่าถามขึ้นมา พวกเราจะตอบว่าอย่างไร”
“ฮูหยินผู้เฒ่ามีแขกอยู่” เฉิงฉือตอบอย่างฉุนเฉียว “นางไม่ว่างมาสนใจข้าหรอก”
ไหวซานร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง
เฉิงฉือรู้สึกแปลกใจ ไหวซานติดตามเขามาสิบกว่าปีแล้ว เหตุใดถึงฟังสิ่งที่เขาพูดว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ อันไหนเสแสร้งอันไหนจำใจไม่ออกเล่า แล้วเหตุใดเด็กผู้นั้นถึงฟังออกอย่างถูกต้องทุกครั้งเล่า”
ตอนที่เขาโมโหนางล้วนวิ่งหนีไปได้ทุกครั้ง…
เฉิงฉือกลับเรือนหลีอินด้วยสีหน้าดำดิ่ง
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเป็นเสมือนเพิ่งไปเดินในถ้ำเสือบึงมังกรมารอบหนึ่งก็ไม่ปาน เมื่อออกมาจากเรือนหานปี้ซานก็พรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
หากท่านน้าฉือรู้ว่าชุนหว่านได้รับคำสั่งของนางให้ไปตามหานางที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวล่ะก็ จะต้องโกรธเกรี้ยวเป็นแน่
ก่อนงานแต่งงานของพี่สาวนางอย่าเพิ่งไปเรือนหานปี้ซานจะดีกว่า
รอให้พี่สาวออกเรือนไปแล้ว ไม่แน่ว่าโทสะของท่านน้าฉืออาจจะคลายลงแล้วก็เป็นได้
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่โจวเสาจิ่นก็ลอบรู้สึกอยู่รางๆ ว่า น้อยครั้งนักที่ท่านน้าฉือจะถูกผู้อื่นเอาคืนเช่นนี้เป็นแน่ เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าเขาจะต้องจดจำเรื่องนี้ไปอีกนาน ต่อให้พี่สาวแต่งงานแล้ว ไม่แน่ว่าท่านน้าฉือก็ยังไม่ลืมเรื่องนี้ก็เป็นได้
โจวเสาจิ่นทอดถอนใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้
เมื่อกลับถึงถนนผิงเฉียว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับไปแล้ว หลี่ซื่อกำลังหารือกับพ่อบ้านหม่าถึงเรื่องงานแต่งงานของโจวชูจิ่น ส่วนเจ้าสาวใหม่อย่างโจวชูจิ่นผู้เป็นตัวเอกของงานกลับไม่มีอะไรทำ นั่งรอนางอยู่ในห้องของนาง
“เจ้าเป็นอะไรไปหรือ” พอเห็นดวงตาแดงก่ำของน้องสาว โจวชูจิ่นก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบดึงนางมาสำรวจอย่างละเอียด
โจวเสาจิ่นคิดว่าคำพูดบางส่วนควรจะกล่าวให้ตรงกับของเฉิงฉือจะดีกว่า จึงเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีแขก ข้าจึงไปเล่นหมากล้อมกับท่านน้าฉือหนึ่งกระดาน ผลปรากฏว่าแพ้…”
โจวชูจิ่นอ้าปากค้าง กล่าวว่า “เจ้าแพ้ท่านน้าฉือ นี่เป็นเรื่องปกติมากมิใช่หรือ ไฉนเจ้าถึงได้ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำไปหมด! ท่านน้าฉือไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลยหรือ ต่อหน้าผู้ใหญ่ เจ้าก็ออกจะเปราะบางเกินไปแล้ว!”
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกดวงหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาในทันใด
นางทั้งร้องไห้โวยวายทั้งเตะต่อยท่านน้าฉือ เหมือนหญิงสาวอารมณ์ร้ายคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือได้รับบาดเจ็บบ้างหรือไม่
จะว่าไปแล้วท่านน้าฉือดีต่อนางจริงๆ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับนางเลย
เพียงแต่ว่าเรื่องที่ไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นจบลงไม่ดีสักเท่าใด
หากรู้แต่แรกว่าท่านน้าฉือเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง ไม่หวั่นกลัวเรื่องอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ เมื่อยืนยันว่านางไม่ได้โกหกก็ยอมรับประสบการณ์ของนางได้อย่างรวดเร็วแล้วล่ะก็ ก่อนมานางก็คงจะไม่ทิ้งคำสั่งเอาไว้ให้ชุนหว่านหรอก
ถึงตอนนี้ ท่านน้าฉือปฏบัติต่อนางด้วยความจริงใจ แต่นางกลับขุดหลุมให้ตนเองแล้วกระโดดลงไปเสียเอง
โจวเสาจิ่นเสียใจเหลือแสน
พอโจวชูจิ่นเห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจ ไม่เอ่ยอะไรอีก
ตั้งแต่เล็กจนโตน้องสาวล้วนต้องมองสีหน้าของผู้อื่นด้วยความขลาดกลัว ยากที่ท่านน้าฉือจะปฏิบัติกับนางอย่างอ่อนโยนดั่งสายฝนพรำ ยามน้องสาวอยู่ต่อหน้าท่านน้าฉือจึงเป็นธรรมดาที่จะอ่อนแอไปบ้าง
น้ำเสียงของนางจึงอ่อนโยนขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเรียกเจ้าไปทำอะไร”
“กล่าวว่าอีกไม่กี่วันจะมามอบของขวัญแต่งงานให้ท่านพร้อมกับท่านยายเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นตอบ “ถามข้าว่าท่านตระเตรียมอะไรเอาไว้แล้วบ้าง” ขณะที่นางกล่าวก็หยิบจี้ทองที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้นางให้พี่สาวดู “สวยงามหรือไม่เจ้าคะ เป็นจี้ทองที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้ข้า! ท่านเอามันไปด้วยดีหรือไม่ ข้าโตถึงเพียงนี้ ยังนับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นจี้ทองที่วิจิตรขนาดนี้ อย่างไรก็ตามจี้ทองนี้คงเอาไว้ดูเล่นได้เท่านั้น หากนำมาประดับบนศีรษะคงจะหนักเกินไป มอบให้ท่านใช้เป็นสินเจ้าสาวได้พอดีเลยเจ้าค่ะ!”
หลังจากที่ขนย้ายหีบสินสอดของเจ้าสาวคนใหม่ไปไว้ที่บ้านฝ่ายชายแล้ว จะได้วางเอาไว้ในลานบ้านให้แขกที่มาร่วมงานได้ชื่นชม
นี่เป็นช่วงเวลาที่เจ้าสาวคนใหม่จะได้หน้าได้ตา แน่นอนว่า ยังเป็นช่วงเวลาที่เสียหน้าได้ด้วยเช่นกัน
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะเอาจี้ทองนี้ไปทำอะไร เจ้าเก็บไว้เล่นเองเถอะ! ยิ่งกว่านั้นรายการสินเจ้าสาวของข้าก็ส่งไปที่ตระกูลเลี่ยวนานแล้ว อยู่ๆ ก็มีของเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง คงไม่ดีนัก”
ของที่ใช้เป็นสินสอดมักจะเน้นของที่เป็นคู่ๆ มากกว่า
โจวเสาจิ่นยิ้มร่า
โจวชูจิ่นหยิบจี้ทองขึ้นมาชื่นชมครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นกล่าว “เช่นนั้นข้าจะเก็บเอาไว้ ในภายภาคหน้ายามที่หลานสาวถึงวัยปักปิ่นก็ใช้เป็นปิ่นปักผมได้”
ดวงหน้าของโจวชูจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อพลางเอ่ยว่า บ้า ใส่นางครั้งหนึ่ง ริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อยกำลังจะต่อว่าโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นรีบล้วงถุงเงินถุงหนึ่งออกมาจากอก พลางกล่าว “ท่านพี่ นี่เป็นตั๋วเงินที่ท่านน้าฉือมอบให้ท่านเจ้าค่ะ บอกว่าเขามอบให้ท่านเป็นของขวัญแต่งงาน”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน